19 กรกฎาคม 2552

หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ : หลวงพ่อมาโปรดอีกครั้ง ตอนที่ 2

ตอนที่แล้วทิ้งคำถามให้ทายเรื่องเนื้อพระกันไว้ มีน้องทายมาถูกซะด้วยนะครับ แหม...นี่ใครคิดจะแหกตาเรื่องเนื้อพระหรือของเก๊ ของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ คงต้องคิดหนักล่ะ เพราะแม้แต่มือใหม่ ก็ชักจะดูกันเก่งแล้ว อย่างที่ผมบอกไว้แหละครับว่า อย่าคิดว่าชาวบ้านเขาโง่ หรือ กินหญ้า ดูไม่ออกกันนะครับ วันนี้ก็มาต่อเรื่องพระแหวกม่านยุคต้น เนื้อปริศนากันต่อไปนะครับ ว่าจริงๆแล้วเป็นเนื้ออะไรกันแน่ ใครทายไว้ว่าอย่างไรบ้างเอ่ย ดูซิว่า ท่านจะทายถูกหรือเปล่า

ลองดูเนื้อพระชัดๆอีกทีนะครับ จะเห็นว่า เนื้อพระนั้นออกในแนวเนื้อขาวนวลใส บางส่วนยังผสมกันไม่ดีนัก โดยเฉพาะพระพักตร์ด้านซ้ายขององค์พระ จะยังคงเห็นเนื้อใสกว่าบริเวณอื่นๆชัดเจน

Photobucket


เนื้อที่คุ้นตาแบบนี้ ทำให้ผมสงสัยว่า ฤาจะเป็นเนื้อพระในตำนาน?? เลยเอาพระองค์หนึ่งออกมาเทียบดู และ แล้วก็เจอความจริงว่า พระองค์นี้มีเนื้อหาเช่นเดียวกับพระองค์ด้านขวา เพียงแต่ว่า พระจะออกโทนสีขาวนวลมากกว่า เมื่อดูกันชัดๆ จะเห็นว่า เนื้อพระตามแนวที่ลูกศรชี้ ยังคงมีเนื้อหา และ สีสันเดิมๆ เหมือนองค์ด้านขวา คงเนื่องมาจาก เนื้อพระเดิมกับผงอิทธิเจ ไม่ได้ผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้เห็นเนื้อเดิมๆปรากฏอยู่ทั่วๆไป

Khunpannoi

ลองขยายกันดูชัดๆหน่อยนะครับจะเห็นว่า เนื้อพระมีลักษณะเดียวกัน ต่างกันที่สีสันเท่านั้น

Photobucket


ถึงตอนนี้ หลายๆคนอาจจะถึงบางอ้อกันแล้วนะครับ ว่านี่คือ พระเนื้ออะไร มาดูกันต่อครับ รอยเนื้อพระที่ดูขรุขระ และ รอยยับย่น แบบที่เห็นในภาพด้านล่างนี้ เป็นเอกลักษณ์ของพระเนื้อด้านขวาครับ เนื่องจาก เนื้อพระลักษณะนี้จะค่อนข้างเหนียวหนืด ไม่ได้อ่อนตัวเช่นพระเนื้อผงของหลวงพ่อสงวนทั่วไป ทำให้กระจายตัวตามแม่พิมพ์ได้ไม่ดีนัก จึงเกิดลักษณะดังกล่าวขึ้น

Khunpannoi

ครับ และ นี่คือ พระเนื้อในตำนานที่หลายๆคนใฝ่ฝันถึง พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ นั่นเองครับ แต่คราวนี้ Transformer ( เห็นกำลังฮิต ยืมมาใช้หน่อยละกัน ) มาอยู่ในพิมพ์พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้นยอดนิยม

Khunpannoi


ดูเผินๆแล้ว แทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่า นี่คือ พระคำข้าว ถ้าไม่ส่องกล้องเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเนื้อพระแล้วล่ะก็คงไม่มีทางทราบได้เลย ที่น่าสังเกตุอีกอย่างก็คือ กลิ่นหอมอ่อนๆที่ออกมาจากองค์พระนั้น เป็นเอกลักษณ์อีกอย่าง ที่ชี้ชัดลงไปว่า นี่คือ พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ จริงแท้และแน่นอน

พระองค์นี้ น่าจะเกิดจาก หลวงพ่อสงวน ท่านนำเนื้อพระที่เหลือจากการทำพระคำข้าว มาผสมกับผงอิทธิเจ อาจจะเพื่อเพิ่มความขลัง หรือ เพื่อให้เนื้อพระมีปริมาณมากขึ้นเพียงพอที่จะนำมากดเป็นพิมพ์พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น เหตุที่ผมฟันธงว่า เป็นเนื้อมวลสารพระคำข้าวที่ผสมเสร็จมาแล้ว ก็เนื่องจาก ในเนื้อพระเดิมๆที่ไม่ผสมเป็นเนื้อเดียวกับผงอิทธิเจที่เติมลงไปใหม่นั้น ยังปรากฏ เม็ดผงอิทธิเจแบบพระคำข้าวอยู่ครับ ลองดูตามภาพที่ลูกศรชี้ สังเกตุเม็ดผงสีขาวกลมๆที่ปรากฏอยู่ แล้วลองเทียบกับ เนื้อพระคำข้าวข้างๆครับ ต้องไม่ลืมนะครับว่า นี่คือส่วนที่ไม่ได้ผสมกับผงอิทธิเจที่เติมลงมาใหม่ ทำให้ยังเป็นเนื้อเดิมอยู่ แล้วจุดกลมสีขาวจะมีขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่ได้มีมาแต่เดิม

Khunpannoi


อาจมีคนแย้งว่า หลวงพ่อสงวน ท่านอาจจะนำเนื้อข้าวมาผสมผงอิทธิเจ เพื่อทำพระองค์นี้ขึ้นมาแบบเฉพาะเลยก็ได้มั้ง ลักษณะที่ว่า ก็เกิดได้เหมือนกัน เหตุที่ผมไม่คิดเช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลดังนี้ครับ ถ้าจำได้ ผมได้บรรยาย ลักษณะมวลสารของพระองค์นี้ ไว้ในตอนก่อนว่า มีว่านสีน้ำตาล กระจายอยู่ทั่วๆไป รวมทั้งแร่สะเก็ดดาว และ มวลสารอื่นๆ เหตุใดพระองค์นี้จึงมีมวลสารเช่นนั้นได้ ในขณะที่พระคำข้าวเดิมไม่มี ??? ภาพนี้คือ คำตอบครับ

Khunpannoi


ในเนื้อพระบางส่วนนั้น ยังปรากฏเห็นมวลสารขนาดใหญ่ของพระแหวกม่านยุคต้นเนื้อสีน้ำตาล ที่ไม่ได้ผสมเป็นเนื้อเดียวกับพระ โดยก้อนสีน้ำตาลที่เห็นนั้น ยังมีมวลสารอันเข้มข้นของพระเนื้อสีน้ำตาลอยู่เต็มเปี่ยม แต่เนื้อยังเกาะกันอยู่อย่างหลวมๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มวลสารนี้ถูกผสมไว้เพื่อใช้ทำพระเนื้อสีน้ำตาล ถ้าเป็นเนื้อพระบด เนื้อน่าจะแข็ง และ อัดแน่นกว่านี้ และ หลวงพ่อสงวน ท่านคงไม่จำเป็นต้องนำพระเนื้อน้ำตาลมาบดกระมังครับ เพราะท่านเองก็มีมวลสารอยู่แล้ว ปกติพระที่บดนั้น จะเป็นพระกรุ หรือ พระเก่า ที่ท่านทำมวลสารเองไม่ได้

จากหลักฐานที่ปรากฏ น่าจะสันนิษฐานได้ว่า ในวันที่มีการทำพระคำข้าวนั้น มีการทำพระแหวกม่านยุคต้นเนื้อสีน้ำตาลด้วย และ คงมีมวลสารที่เหลือจากการทำพระทั้งสองพิมพ์ หลวงพ่อสงวน ท่านจึง น้ำเนื้อพระทั้งสองที่เหลืออยู่มาผสมกัน รวมทั้ง เติมผงอิทธิเจ เพิ่มเติมลงไปด้วย เพื่อให้ได้พุทธคุณเพิ่มขึ้น และ ได้มวลสารเพียงพอที่จะทำพระองค์นี้ จากนั้น จึงนำเนื้อที่ผสมได้ มากดบนพิมพ์พระแหวกม่านยุคต้น เกิดเป็นพระองค์นี้ขึ้นมา ดังนั้น พระองค์นี้ จึงอาจจะเป็นแค่หนึ่งเดียวที่มีในวันนั้นก็เป็นได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า มวลสารที่เหลือนั้น ย่อมเกิดจากเนื้อมีไม่พอที่จะทำพระองค์ใหม่เต็มองค์ได้ หลวงพ่อสงวนท่านจึงนำมาผสมกันเป็นองค์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งธรรมดาของที่มีชิ้นเดียว หลวงพ่อสงวน ท่านคงลงอะไรไว้ไม่ธรรมดาแน่นอน หลักฐานน่ะเหรอครับ ผมไม่มีมายืนยันท่านหรอก ที่ผมคิดได้ก็มีแค่ การที่ท่านแสดงปาฏิหารย์มาหาผมถึงถิ่นที่อยู่ได้ แถมยังดลใจให้ออกไปรับนี่แหละ ... แค่นั้นก็เพียงพอที่จะบอกถึงความแรงแล้ว

ผงอิทธิเจที่เติมลงไปใหม่ ไม่ได้ผมเป็นเนื้อเดียวกันกับ เนื้อพระดิมทั้งหมดซะทีเดียว ส่วนที่ผสมได้ ก็จะเกิดเป็นสีขาวนวล แต่ยังคงสีสันของเนื้อดั้งเดิมอยู่ ส่วนผงอิทธิเจที่เหลือ ก็จะเกาะเป็นผงขาวๆปรากฏให้เห็นตามร่องเนื้อพระอยู่ทั่วๆไป

Khunpannoi

นี่แหละครับ คือ คำตอบที่ว่า เหตุใดพระองค์นี้ จึงมีคราบผงอิทธิเจติดอยู่ตามร่องพระทั่วๆไป ซึ่งไม่มีให้เห็นในพระแหวกม่านองค์อื่น

Khunpannoi


และ เม็ดสีเหลืองปริศนา ที่ผมกล่าวไว้ในตอนก่อน ก็เป็นจุดตาย อันหนึ่ง ที่ใช้สังเกตุพระเนื้อนี้ได้ ส่วน เม็ดสีเหลืองที่ว่านี้คืออะไร เอาไว้ฟังกันต่อ ตอน พระคำข้าวของหลวงพ่อสงวน แล้วกันนะครับ

นี่คงเป็นพระอีกองค์หนึ่ง ของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ที่รวมสิ่งสุดยอดหลายอย่างไว้ด้วยกัน ไม่ว่า จะเป็น พิมพ์พระแหวกม่านยุคต้น พิมพ์ยอดนิยมที่กล่าวขานถึงประสบการณ์กันมาก และ สายตรงทั้งหลายใฝ่ฝันถึงที่สุด รวมทั้งพิมพ์พระที่คมชัด รูปทรงก็สวยงาม แบบที่เรียกว่า สวยแชมป์ แถมยังมีมวลสารอย่าง พระคำข้าว และ พระเนื้อน้ำตาล ซึ่งถือว่า สุดยอดทั้งคู่ ไม่อยากคิดเลยว่า จะแรงขนาดไหน แค่ท่านเสด็จมาหาถึงถิ่นที่อยู่ผมนี่ ก็ปรากฏอัศจรรย์นักหนาแล้วล่ะครับ แสดงว่า พระองค์นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ และนี่ ก็คือ บันทึกอีกหนึ่งหน้าของ " พระมีขา " องค์ล่าสุดของผมครับ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับฉัน