31 กรกฎาคม 2552

การดูพระหลวงพ่อสงวน ตอนที่ 25 : สมเด็จข้าวทิพย์ ตอนที่ 4

สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวัน วันนี้ก็มาต่อกันด้วย เรื่องราวของ พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ตอนที่ 4 นะครับ วันนี้ก็ได้เข้าไปเยี่ยมเยียนลุงสุด กับ ป้าฉัตร ผู้แสนใจดี อีกครั้งหนึ่ง ก็ได้เรื่องราวดีๆมาฝากกันอีกเช่นเคย ฝากประชาสัมพันธุ์ซักนิดนึงนะครับว่า ตอนนี้ ทางวัดไผ่พันมือ ยังขาดปัจจัยในการก่อสร้างอุโบสถอีกเป็นจำนวนมาก ท่านผู้ใดมีจิตศรัทธาก็เชิญได้ที่วัดไผ่พันมือนะครับ

ในตอนที่ผ่านมา ผมได้เล่าเรื่องลักษณะของเม็ดข้าวสีเหลือง หรือ ข้าวทิพย์ ของหลวงพ่อสงวน กันแล้ว บางคนอาจจะยังคาใจว่า ก็ไม่เห็นจะมีแบบเต็มๆเม็ดให้ดูเลย จะให้เชื่อได้ไงว่า เป็นเม็ดข้าวจริงๆ วันนี้ก็เหมือนหลวงพ่อท่านเมตตาครับ เมื่อได้เจอกับ พระองค์สำคัญองค์หนึ่งของลุงสุด ก็แล้วกันนะครับ ได้ชมแล้ว ผมก็อึ้งเหมือนกัน ยังกับหลวงพ่อสงวน ท่านจะส่งจิ๊กซอมาให้อีกชิ้นหนึ่ง ที่มาช่วยทำให้เรื่องราวนั้นสมบูรณ์ขึ้น และ ไร้ซึ่งความกังขาใดๆ ไปชมพระองค์นี้กันครับ

พระคำข้าว พิมพ์สมเด็จสามชั้น หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

นี่แหละครับ เม็ดข้าวเต็มๆเม็ด สีเหลืองอร่าม สวยงามจริงๆ สังเกตุกันดูนะครับ จะเห็นว่า เม็ดป้อมๆเล็กๆ หน้าตาไม่เหมือนข้าวที่เรากินกันทุกวันซักเท่าไหร่

Khunpannoi

ขยายดูเนื้อหากันหน่อย จะเห็นว่า เนื้อพระนั้น ก็คือ เนื้อพระสีแดง ยุควัดทุ่งแฝกนั่นเอง สีเม็ดข้าวสีเหลือง ที่ตัดกันกับเนื้อพระนั้น บ่งบอกชัดว่า สีเหลืองของข้าวนั้น มิได้เกิดจาก แปดเปื้อนสีจากเนื้อพระ แต่เป็นสีเหลืองแต่ดั้งเดิม

Photobucket

ภาพขยายด้านหลัง มวลสารตรงกลางนั้น เป็นพระเนื้อแดงชัดเจน และ สีข้าว ที่เห็นกันได้ชัดเจนว่า มีสีใด

Photobucket


ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเลยครับ สำหรับพระองค์นี้ คงได้เห็นกันแล้วว่า เม็ดข้าว เม็ดเล็กๆป้อมๆสีเหลืองน้อยๆ ในตำนาน นั้นเป็นเช่นไร ใครที่ยังคาใจอีก ผมก็คงจนปัญญาที่จะหาหลักฐานมาแสดงให้ดูแล้วล่ะ ไปดูพระคำข้าว สุดสวยอีกองค์หนึ่งนะครับ

พระคำข้าวเนื้อละเอียด พิมพ์แหวกม่านใหญ่หูบายศรี หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

แค่เนื้อเห็นก็ซี๊ดแล้ว พลิกดูด้านหลังนี่สิซี๊ดอีกที รูปสีลงจารที่หายากของหลวงพ่อสงวน นั่นเองครับ

Photobucket

บางคนคงสงสัย เอ...วันนี้ทำไมแบล๊คกราวน์ของขุนแผนน้อย ดูแปลกๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะผมใช้สิ่งนี้รองตอนถ่ายภาพพระครับ

ตำรายา หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi


คงจำกันได้นะครับ ในตอนก่อน ที่ผมเคยบอกไว้ว่า หลวงพ่อสงวน ท่านเป็น "พระหมอ" ท่านเมตตาช่วยรักษา ชาวบ้าน และ เด็กๆแถวๆนั้น เนื่องจาก สมัยก่อน โรงพยาบาลอยู่ไกลมาก ต้องเดินทางไปถึงสามชุก ทำให้ไม่สะดวกนัก ชาวบ้านก็ได้หลวงพ่อท่านนี่แหละช่วยตอนเจ็บป่วย ลองสังเกตุหน้าปก จะเห็นว่า เจ้าของสมุดเล่มนี้ ก็คือ ลุงสุด นั่นเองครับ หลวงพ่อเขียนคำอวยพรเอาไว้ด้านหน้าด้วย

เปิดดูข้างในนั้น พบว่า เป็นตำรายา ที่หลวงพ่อสงวน ท่านจดเอาไว้นั่นเอง

Photobucket


และ เมื่อพลิกไปที่ปกหลัง ผมเองก็ขนลุกซู่ด้วยความตื้นตัน ระคนตกใจ เมื่อพบหลักฐานที่สำคัญมากๆ เกี่ยวกับการสร้างพระของหลวงพ่อสงวน ซึ่งแต่เดิม เราเข้าใจกันมาตลอดว่า ท่านใช้เพียงผงมหาราชพิศดาร และ ผงอิทธิเจ ในการทำพระของท่าน แต่ไม่ใช่เช่นนั้นซะแล้ว เมื่อพบว่า ยังมีผง และ อะไรอีกมากมายที่ท่านใส่ลงไปด้วย มิน่าเล่า พระหลวงพ่อสงวน ถึงได้แรงยิ่งนัก นี่คือ สิ่งที่ไม่เคยมีใครได้เห็นและเปิดเผยมาก่อนครับ

Photobucket


ผู้รู้ท่านหนึ่งบอกผมว่า การลบผงแต่ละอย่างนั้น ทำได้ยากมากๆ และ ถือได้ว่า แต่ละอย่างนั้น สุดยอดจริงๆ วันหลัง คงจะต้องไปขอความรู้ท่านนำมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานกันหน่อยครับ เห็นแบบนี้ ผมก็ถึงบางอ้อ มิน่าเล่า ถึงมีแต่คนเห็น หลวงพ่อสงวน ท่านถึงทำการเขียนผงลบผงทั้งวัน ที่แท้มิได้มีแต่ผงอิทธิเจอย่างที่เข้าใจกันนี่เอง

ตอนก่อนคงจำกันได้ว่า ผมได้กล่าวไว้ว่า หลวงพ่อครื้น เคยส่ง หลวงพ่อสงวน ไปขอวิสัย และ เรียนกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่พอจะโยงใยความสัมพันธุ์นี้ได้ ก็คือ ลุงสุดเล่าว่า ช่วงที่หลวงพ่อสงวน ท่านบวชเป็นชีปะขาว อยู่ที่วัดห้วยสุวรรณารามนั้น หลวงพ่อสงวน ท่านได้เจอ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลายครั้ง เนื่องจาก หลวงพ่อจง ท่านแวะมาพักที่วัดห้วยฯนี้หลายวาระ และ อยู่คราวละหลายๆวัน หลักฐานจากแม่พิมพ์ยันต์หลวงพ่อจง ออกวัดห้วยฯ ที่หลวงพ่อสงวน ท่านเก็บไว้คงเป็นตัวบอกถึงความสัมพันธุ์อันนี้เป็นอย่างดี ว่าท่านเคารพครูบาอาจารย์แค่ไหน

ปกติ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลังจากร่ำเรียนกับท่านแล้ว ท่านมักส่งลูกศิษย์ไปเรียนต่อกับ หลวงพ่อจง หลวงพ่อโหน่ง และ หลวงพ่อเนียม ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน เรื่องนี้ ลองอ่านจากหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" ที่ผมบอกไว้เมื่อตอนก่อนกันเองแล้วอันนะครับ ไม่ต้องห่วงครับ ครูบาอาจารย์สายนี้ไม่ว่าจะไปเจอองค์ไหนก่อน ท่านก็จะส่งไปเรียนวิชา กับองค์ที่เหลือจนครบ

วันนี้ลากันด้วย พรจากหลวงพ่อสงวน ที่ท่านเขียนไว้หน้าตำรายาของท่าน น้อมนำไปปฏิบัติเพื่อความเป็นสิริมงคลกันนะครับ

Photobucket


เลยยังไม่ถึง พระคำข้าว Transformer กันซักที ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าแล้วกันนะครับ สวัสดีครับ

27 กรกฎาคม 2552

การดูพระหลวงพ่อสงวน ตอนที่ 24 : สมเด็จข้าวทิพย์ ตอนที่ 3

กลัวแฟนๆรอกันนาน วันนี้ก็เลยรีบมาอัพให้ มาต่อกันเรื่อง สมเด็จข้าวทิพย์ หรือ พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ตอนที่ 3 นะครับ หลังจากทราบที่มาที่ไปของข้าวทิพย์กันแล้ว บางคนอ่านแล้วอยากได้พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน กันมาก แต่ก็หาได้ยากเย็นแสนเข็ญยิ่ง ไม่ต้องเสียใจไปหรอกครับ จริงๆแล้ว ข้าวทิพย์ ของหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือนั้น ส่วนหนึ่ง ท่านได้ทำการตากแห้งไว้เพื่อใช้เป็นมวลสารในการสร้างพระเครื่องของท่าน ซึ่งพบว่า ปรากฏอยู่ในหลายๆพิมพ์ หลายๆเนื้อก็ปรากฏมวลสาร ข้าวทิพย์ นี้อยู่อย่างชัดเจน ไปดูกันดีกว่าครับว่า มีอยู่ในพระเนื้อแบบไหนกันบ้าง

เนื้อแรกเลย ที่พบว่า มวลสารหลักที่นอกเหนือไปจากผงอิทธิเจของหลวงพ่อสงวน ก็คือ ข้าวทิพย์ นี่เอง ที่แทบจะเรียกว่า พบมากกว่าพระเนื้ออื่นๆ ก็ว่าได้ พระเนื้อแบบนี้ ใครๆเขาก็เมิน เนื่องจากติว่า ไม่สวย เพราะสภาพพระจะเว้าแหว่ง เป็นรูพรุนบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกิดจาก หนูและแมลงแทะ โดยที่ไม่มีใครทราบมาก่อนเลย ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และ วันนี้ความจริงก็ปรากฏ....ครับ พระที่หลายคนเมิน และ มองข้าม หารู้กันไม่ว่านี่แล เป็นของดีที่หลายๆคนมองข้าม รอยเว้าแหว่งต่างๆนั้น เป็นร่องรอยที่เกิดจาก พวกหนูและ แมลง เขาขุดเอาข้าวทิพย์ไปกินนั่นเอง

พระเนื้อขาวยุควัดทุ่งแฝก หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi


จะสังเกตุว่า รอยหลุมที่เกิดขึ้นนั้น จะเกิดในบริเวณที่มีข้าวทิพย์อยู่เท่านั้น นั่นแสดงว่า มวลสารที่โดนแทะไปนั้น "เป็นของที่กินได้" ครับ ไม่งั้นพวกหนูและแมลงทั้งหลาย มันคงไม่เสียเวลามาแทะกินเป็นแน่ และ พวกเค้าเองก็เป็นสัตว์ที่ไม่กินผง ( ก็ไม่ใช่แมงกินผงนี่ ) เป็นสิ่งยืนยันอย่างหนึ่งว่า ข้าวทิพย์ นั้น เป็น "ข้าว" ที่กินได้ ไม่ใช่ผลึกอย่างอื่นแต่อย่างใด

ดูกันชัดๆครับ รอยที่โดนแทะ จะเกิดเฉพาะในบริเวณ ที่มีข้าวทิพย์เท่านั้น พระประธานห้าชั้น เนื้อขาว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ องค์นี้ เนื้อโดนขุดลึกเข้าไปเพื่อ กินสิ่งที่อยู่ภายในโดยเฉพาะ ในภาพจะเห็นข้าวทิพย์ ที่โดนแทะไปเกือบหมด เหลือเศษทิ้งไว้ให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

Khunpannoi

นี่เป็นร่องรอย จากพระสมเด็จแหวกม่านเล็กเนื้อขาว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ องค์หนึ่ง จะเห็นข้าวทิพย์ที่โดนแทะเหมือนกินลูกแอปเปิ้ลยังไงยังงั้น ( ดูท่าทางจะมีอารมณ์สุนทรีย์ในการแทะจริงๆ )

Khunpannoi

พระประธานห้าชั้น อีกทีครับ จะเห็นรอยของสัตว์ฟันแทะ ( ลูกศรสีเหลือง ) ชัดเจน แน่นอนครับ สังเกตุจากรอยฟันแล้ว แสดงว่ามันมุ่งหวังที่จะกิน ข้าวทิพย์ที่อยู่ตรงกลาง ( ลูกศรสีแดง ) แน่ๆ

Khunpannoi

บางเม็ดก็ยังเหลืออยู่อย่างสมบูรณ์ ไม่โดนแตะต้อง


Khunpannoi

พระสมเด็จแหวกม่านเล็ก อีกองค์ ก็โดนแทะไปเกือบหมด เหลือให้เห็นเศษข้าวทิพย์เพียงเล็กน้อย

Khunpannoi

พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น เนื้อสีน้ำตาล หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ บางองค์ก็ปรากฏข้าวทิพย์ให้เห็นชัดเจน

Photobucket

พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น เนื้อดำ ก็เป็นอีกเนื้อหนึ่งที่ปรากฏข้าวทิพย์ให้เห็นด้วย

Khunpannoi

ลองสังเกตุรูพรุนที่เกิดขึ้นบนองค์พระนะครับ ล้วนแล้วแต่เป็นที่เคยมีข้าวทิพย์อยู่ทั้งนั้น ข้าวทิพย์ที่ผมโชว์ในตอนแรก ก็หลุดมาจากองค์นี้นี่เอง ดูกันชัดๆ แน่นอน มีข้าวทิพย์ ย่อมมีรอยแทะ ( จะใช้แทนคำพังเพย มีควันย่อมมีไฟ ได้มั้ยเนี่ย )

Photobucket

รูปเม็ดข้าวสีเหลืองที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างสมบูรณ์เม็ดหนึ่ง

Khunpannoi

ด้านหน้าก็มี

Khunpannoi


เท่าที่สังเกตุ พบว่า จะมีเฉพาะพระเนื้อสีขาวของหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ยุควัดทุ่งแฝกเท่านั้น ที่ปรากฏข้าวทิพย์ให้เห็นแทบทุกองค์ ส่วนเนื้ออื่นๆ ไม่ว่า จะเนื้อสีน้ำตาล หรือ เนื้อดำ บางองค์ก็มี บางองค์ ก็ไม่เห็นเลยครับ ( ส่วนใหญ่จะไม่เจอ ) ลองส่องพระที่คุณมีดูนะครับ อาจเห็นข้าวทิพย์อยู่ก็เป็นได้ พระเนื้อขาวที่คุณมองข้ามไป ก็ลองหยิบมาส่องกันดูนะครับ นั่นแหละ ของดีที่มีมวลสารพระคำข้าวของหลวงพ่อสงวนอยู่อย่างมากมาย ในตอนหน้า ผมจะพาท่านไปพบกับ พระพิมพ์ที่มีมวลสารของ พระคำข้าว หลวงพ่อสงวนอยู่อย่างเข้มข้นที่สุด ผมชอบเรียกว่า พระคำข้าว รุ่น Transformer คำนี้เห็นกำลังฮิต และ เป็นคำที่สื่อความหมายในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด เป็นของดีที่หลายคนเคยมองข้ามอีกเหมือนกัน จะเป็นพิมพ์ไหน ผมขออุบไว้ก่อน ไว้พบกันใหม่ตอนหน้าก็แล้วกันนะครับ สวัสดีครับ

26 กรกฎาคม 2552

การดูพระหลวงพ่อสงวน ตอนที่ 23 : สมเด็จข้าวทิพย์ ตอนที่ 2

กลับมาพบกับ เรื่องราวของ สมเด็จข้าวทิพย์ หรือ พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ กันต่อนะครับ ในตอนแรกคงได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องราว ที่มาที่ไป และลักษณะ เม็ดข้าวสีเหลืองที่ปะปนอยู่ในเนื้อพระกันไปแล้ว ต่อจากนี้ไป ผมขอเรียกสั้นๆว่า "ข้าวทิพย์" ก็แล้วกันนะครับ จะได้ไม่ต้องเรียกเยิ่นเย้อให้มากความ คราวก่อนผมติดไว้ว่า แล้วหลวงพ่อสงวน ท่านไปได้วิธีทำพระคำข้าว มาจากไหนกัน ?? เรื่องนี้ จริงๆไม่มีใครทราบเลย แม้แต่พี่เสี่ยเราเองก็จนปัญญา ส่วนผมเองคิดว่า ท่านน่าจะเรียนมาจาก หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เหตุใดผมถึงคิดเช่นนั้น ตามผมมาแล้วกันครับ

ครั้งหนึ่ง ผมเคยอ่านเจอกระทู้ในเวบบอร์ดแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องราวพระเกจิในสายสุพรรณ คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นคุณศักดิ์ สุพรรณ ที่บอกข้อมูลเพิ่มเติม ตอนหนึ่งไว้อย่างน่าสนใจว่า หลวงพ่อครื้น ท่านเคยส่งหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ไปขอวิสัย และ เรียนกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อยุ่หนึ่งพรรษา เสียดายที่ผมหาข้อมูลที่ว่า ไม่เจอเสียแล้ว ถ้าหากคุณศักดิ์ สุพรรณ ได้ผ่านมาเจอ ก็ขอความกรุณาความรู้เป็นวิทยาทานหน่อยนะครับ เพราะเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว

พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ สองพิมพ์ สามเนื้อ

Khunpannoi


ผมเองค่อนข้างจะเชื่อว่า เรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องจริง เหตุผลก็เพราะ ต้นตำหรับในการทำพระคำข้าว ที่ผมเห็นก็มีแค่ หลวงปู่ปานองค์เดียว และ องค์ที่สืบทอดวิชาท่านมาทำต่อ ก็คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ศิษย์เอกของหลวงปู่ปานนั่นเอง ซึ่งพระคำข้าวของท่าน ก็เป็นที่ต้องการของลูกศิษย์ลูกหามากมาย ด้วยเจอประสบการณ์มานักต่อนัก นอกจากสององค์นี้แล้ว ผมเองก็ยังมองไม่เห็นว่า จะมีท่านองค์อื่นทำพระคำข้าวเลย จนมาเจอ พระคำข้าวของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ นี่แหละ ซึ่งท่านก็เรียกพระของท่านว่า พระคำข้าว เช่นเดียวกันกับหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษี ซึ่งถ้าไม่ใช่สายวิชานี้ ท่านก็น่าจะเรียกเป็นชื่ออื่น

อีกเหตุผลที่น่าเชื่อได้ว่า ท่านน่าจะเคยอยู่กับหลวงปู่ปานจริง ก็น่าจะเป็น เรื่องของการได้มาซึ่งข้าวทิพย์ ซึ่งจะมีอยู่ในหลักสูตรการธุดงค์แบบอุกกฤตตามแบบฉบับของหลวงปู่ปานท่าน ใครสนใจก็ลองไปหาหนังสือ " ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" ซึ่งเขียนโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาอ่านดูนะครับ บูชาได้เล่มละร้อยบาท ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี หรือ จะฝากผมซื้อให้ก็ยินดีครับ ทุกบาททุกสตางค์ท่านนำไปทำบุญในวิหาร และ ธรรมทานทั้งหมด หรือ จะใช้พี่กุ๊กเกิ้ลช่วยหาอ่านในเน็ตก็ตามแต่

ผมสรุปให้ฟังแค่คร่าวๆแล้วกันนะครับ การธุดงค์แบบอุกกฤต ในแบบของหลวงปู่ปานก็คือ การธุดงค์ที่มุ่งตรงเข้าป่าลึกไปเลย ไม่เจอบ้านคนตลอดทาง เรียกว่า บิณฑบาตรกินกับเทวดาอย่างเดียว บางทีก็นำบาตรไปแขวนไว้กับต้นไม้ บางทีก็จะมีชาวป่ามาใส่ถวายให้ ทั้งที่แถวนั้นไม่มีบ้านคนเลย แต่ข้าวที่ได้มาก็จะมีลักษณะเดียวกัน ก็คือ ข้าวเม็ดสีเหลืองๆ และ มีกลิ่นหอมนี่แหละ ลองหาอ่านกันดูแล้วกันนะครับ

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเชื่อ เป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ท่านเป็น "พระหมอ" ครับ พระหมอ ก็คือ พระที่ท่านเชี่ยวชาญในการรักษาคนไข้ ซึ่งป่วยต่างๆนาๆมา โดยใช้วิชาอาคม อภิญญาสมาบัติ สมุนไพร รวมทั้งสูตรยาโบราณต่างๆ ในการรักษา ซึ่งจะว่าไป ในสายครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่มีใครเป็น "พระหมอ" เลย พระหมอในสมัยนั้น ที่รู้จักกันดี ก็คือ หลวงปู่ปาน นี่แหละ อีกทั้งเรื่องอภิญญา สมาบัติของหลวงพ่อสงวน ซึ่งเราคงได้ประจักษ์กันมาแล้ว ในพระเครื่อง และ วัตถุมงคลของท่านทั้งหลาย ผมเองก็เคยสงสัยว่า ท่านไปเรียนมาจากใคร ตอนนี้ก็คิดว่า น่าจะได้คำตอบแล้ว อีกอย่างก็คือ มีหลักฐานหลายอย่าง ที่บ่งชี้ว่าท่านเกี่ยวข้องอยู่กับครูบาอาจารย์สายนี้ เดี๋ยวเรามาว่า กันตอนต่อไปแล้วกันนะครับ ตอนนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมอยู่ครับ

พระคำข้าว และ พระหางหมาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

Khunpannoi


จำไม่ได้ว่าภาพของใคร ขอยืมเป็นวิทยาทานแก่พี่ๆน้องๆหน่อยแล้วกันนะครับ ของตัวเองยังไม่มีเวลาถ่าย พระคำข้าวก็คือ พระแถวล่างองค์เหลืองๆนั่นแหละครับ

ในการทำพระคำข้าวนั้น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านกล่าวไว้ว่า การสร้างยากมาก ก็คือ หากรับประทานข้าวคำไหน รู้สึกมีรสอร่อย จะต้องคายออกมา แล้วทำการเสกเก็บไว้ ต้องทำทุกวัน ขาดไม่ได้ จนครบ 3 เดือน แล้วจึงนำมาทำเป็นผงทำพระ พระคำข้าวนั้นจะหนักในทางลาภมาก และ เหตุนี้เอง ผมถึงไม่แปลกใจว่า เหตุใดพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ จึงมีประสบการณ์ในทางลาภมากเช่นกัน หลวงพ่อฤาษีฯ ได้เล่าความอัศจรรย์ของพระคำข้าว สมัยที่ท่าน ยังอยู่ กับหลวงพ่อปานไว้ดังนี้ครับ

Khunpannoi


"... เมื่อสมัยหลวงพ่อ(ปาน)ยังทรงชีวิตอยู่ ท่านทำพระไว้องค์หนึ่ง เสกข้าว ๓ เดือนนี่ปรากฏว่า คำไหนอร่อยมากคำนั้นไม่กินเอาออกเก็บ สำหรับที่ฉันนี่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คำแรก ยังไม่ต้องกิน กับข้าวที่ดีที่สุดผสมก่อน เสกเก็บนะ ก็ทำจริง ๆ ๔ เดือน ไปไหนก็ทำ หมายความว่าบังเอิญจะมาที่นี่ ก่อนจะกินก็ต้องทำเก็บไว้เหมือนกัน เพราะคำว่า ๓ เดือน ๓ เดือน นี่จะขาด สักวันหนึ่งไม่ได้เลย แล้วก็ผลจริง ๆ ที่เคยปรากฎนะ ที่หลวงพ่อปาน ท่านทำ ใช่ไหมทำแล้วก็ทำเป็นผงผสมไว้แล้วก็สร้างเป็นพระพุทธรูปไว้บูชาที่ พระสวดมนต์ เวลาหลวงพ่อท่านไม่อยู่คนไม่ค่อยเอากับข้าวไปให้กิน ฉันก็ไป บูชาพระองค์นั้น ขอหม้อใหญ่ ๆ มาเรื่อยนี่เป็นเรื่องจริง ๆ นะ มาอีกวันหนึ่ง เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก คือว่าหลวงพ่อ ไป เขาวงพระจันทร์ อีตาโปร่งแก เป็นเจ้าของโรงงานต่อเรือยนต์นะ แกก็นำแกงมา ๓ หม้อใหญ่ ใหญ่มาก ปรากฏพอมาถึงหน้าวัด ฉันบูชาตอนกลางคืนนี่นะ ฉันอดนะ กับข้าวไม่ค่อย มีกิน หลวงพ่อไม่อยู่เราก็อาศัยพระพุทธรูป ตาโปร่งมาถึงพอมาถึงจอด เรือ ปั๊บ ถามว่าหลวงพ่อ อยู่ไหม เขาบอกไม่อยู่ไปเขาวงพระจันทร์ แกถอยหลัง เรือออกเลยแหมหม้อต้มใหญ่ ๆ จะให้หลวงพ่อปานฉันองค์เดียว ใบจักรหัก มันไม่มีตอนะ ใบจักรหัก ฉันเลยหม่ำซะ ๓ หม้อเลย ใบจักรหักเรา ก็ไม่ช่วยต่อ เรื่องของแก พอหลวงพ่อปานกลับมา ตาโปร่งก็มา เล่าให้ฟัง บอกว่า ผมเอาอาหารมาถวาย นึกว่าหลวงพ่อยังอยู่ พอหลวงพ่อไม่อยู่ พระบอกว่า หลวงพ่อไม่อยู่ ผมเลยถอนหลังกลับเอาอาหารกลับบ้าน แต่ใบจักร ไม่รู้ฟันอะไรหัก หลวงพ่อปานบอกที่นั่นมันไม่มีตอ หน้าวัดไม่มีตอ แกก็ถามทำไมจึงหัก ท่านก็เลยบอกว่า แกคลายศัทธาใบจักรก็หัก ในเมื่อ มาถึงวัดแล้ว แกไปทำไมไอ้คนจะเป็นมหาเศรษฐี ถอยหลัง ไม่ต้องการ มหาเศรษฐีมีที่ไหน อ้อเทวดาช่วยนะ ช่วยใครรู้ไหม ช่วยฉัน โอ้โฮหม่ำซะ ไม่มี ดีใจกินแกงใบจักรหัก ... "

ผมเอง ตั้งแต่ได้บูชา พระคำข้าวหลวงพ่อฤาษีฯท่านมา ถึงวันนี้ก็เกือบๆยี่สิบปีแล้วครับ ชีวิตไม่เคยอับจนซึ่งเงินทองเลย ไม่ใช่ร่ำรวยครับ แต่มีเงินใช้ไม่ขาดมือ เรียกว่า เหลือเฟือเลยก็ว่าได้ จนช่วงหนึ่งที่ท่านหายไป ช่วงนั้นก็ย่ำแย่ไปเหมือนกัน จนมาเจอ พระคำข้าวหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ นี่แหละ ที่พบว่า มีประสบการณ์เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ได้ท่านมา ก็รู้สึก รายได้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และ น่าอัศจรรย์ก็คือ จู่ๆก็ได้ย้ายมาอยู่บริษัทหนึ่ง ซึ่งคนอยากเข้าเยอะมาก เพราะรายได้ดี ได้เห็นตัวเลขในสลิปถึงหกหลัก ก็ตั้งแต่ได้พระคำข้าว หลวงพ่อสงวนมานี่แหละ อ้าว ... บ่นไปบ่นมา หมดโควต้าซะแล้ว ตอนนี้เลยยังไม่ถึงไหนเลย ตอนหน้ามาดู ข้าวทิพย์ ที่หลวงพ่อสงวนท่านตากแห้งไว้ใช้ผสมในมวลสารพระต่างๆกันนะครับ วันนี้ฝันดีครับทุกท่าน ...

23 กรกฎาคม 2552

การดูพระหลวงพ่อสงวน ตอนที่ 22 : สมเด็จข้าวทิพย์ ตอนที่ 1

สวัสดีครับ วันนี้มาพบกับเรื่องราว พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ กันนะครับ ในตอนก่อนคงได้เห็นพิมพ์พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น ซึ่งไม่เคยมีเนื้อแบบนี้ปรากฏมาก่อน มือใหม่เองอาจจะยังงงๆกันว่า พระคำข้าว คือ อะไร ทำไม่ต้องทำตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย วันนี้ผมก็จะนำเรื่องราวมาฝากกันครับ สำหรับมือเก่าก็ไม่ต้องทำหน้าเซ็งๆว่า เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่นะครับ วันนี้จะเปิดเผยข้อมูลที่ท่านไม่เคยทราบที่ไหนมาก่อน เกี่ยวกับหลักฐานสำคัญที่ยืนยันเรื่องราวของ "ข้าวทิพย์"

พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi


พระรุ่นนี้ทราบมาว่า เริ่มปรากฏตัวพร้อมๆพระอื่นๆของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ แต่เนื่องด้วยเซียนทั้งหลายติว่า พิมพ์ไม่ค่อยสวย แถมเนื้อก็ไม่เหมือนพระอื่นๆ ทำให้ไม่มีใครเหลียวแล จนวันหนึ่ง ผมได้รับพระชุดนี้มา ก็เรียกว่า โดนยัดมาเป็นชุดน่ะแหละ พอเปิดกล่องพัสดุออกมาก็หน้าเบ๊ว่า " พระอะไรหว่า ไม่สวยเอาซะเลย " องค์พระดูบิดๆเบี้ยวๆ พิกล แต่กลิ่นหอมที่ตลบอบอวลออกมาจากองค์รพระ หอมชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ... นั่นเป็นสิ่งเดียวทำให้ความรู้สึกผิดหวังของผมดีขึ้น พร้อมกับความแปลกใจระคนว่า พระที่ผ่านกาลเวลามา 40 กว่าปีแล้ว ยังคงมีกลิ่นหอมแบบนี้ได้อย่างไร ??? น้ำหอมอะไรที่สามารถคงความหอมได้นานปานนี้ นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างหนึ่ง จากนั้นก็เก็บพระใส่กล่องไว้ ไม่ได้เหลียวแลอีกเลย

ด้านหลัง ติดรูปถ่ายหน้าหนุ่มหลวงพ่อสงวนมาด้วย บ่งบอกช่วงเวลาการสร้างว่า อยู่ในยุควัดทุ่งแฝกนั่นเอง

Khunpannoi


จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมฝันไปว่า ( บอกตั้งแต่ตอนก่อนแล้วนะครับว่า ขุนแผนน้อย ชอบฝัน ) หลวงพ่อสงวน ท่านเมตตามาบอกว่า พระที่ได้ไปน่ะ ไม่ใช่พระธรรมดาสามัญนะ มวลสารที่ใช้ทำมีความสำคัญมาก พระทำมาจาก ข้าวของเทวดาซึ่งมาใส่บาตรให้ท่าน ท่านจึงนำมาทำเป็นพระ สิ่งนี้เป็นของกายสิทธิ์ ไม่มีในโลกมนุษย์ ใครได้ไว้ จะมีลาภมาก และ ขออะไร ขอให้บอกเทพที่รักษาองค์พระ จะสมความปรารถนาทุกประการ... อ่า ฝันแปลกๆอีกแล้วสิ นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ในการค้นหาความจริงว่า ความฝันที่ หลวงพ่อสงวน ท่านบอกนั้น เป็นเพียงฝันเลื่อนลอย หรือ มีมูลความจริงประการใด

นี่คือ ภาพที่ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนครับ พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ 14 องค์ น่าเสียดายครับ เคยมีอยู่ถึง 18 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่ีนี้ ( ใครรู้ตัวว่าเอาพระผมไป เอามาคืนด่วนนะครับ )

Khunpannoi


ผมเก็บความฝันไว้ในใจ ฝากคนที่รู้จัก ไปสืบให้ว่า มีใครทราบความเป็นมาของพระคำข้าวบ้าง ว่าหลวงพ่อสงวน ท่านใช้ข้าวอะไรมาทำ ก็ได้ข่าวจาก พี่เสี่ยไร่อ้อย ลูกบุญธรรมของหลวงพ่อสงวนตามเคย ว่า หลวงพ่อสงวน ท่านได้ข้าวมาบาตรหนึ่ง ไม่รู้ว่าได้มาจากไหน มีลักษณะเม็ดป้อมๆ สีเหลือง และ มีกลิ่นหอมมาก ครับ...หลวงพ่อสงวน ท่านมิได้ปริปากบอกใครเลยว่า ข้าวเหลืองๆหอมๆนั้น เป็นข้าวอะไร และ ท่านได้มาจากไหน จวบจนปัจจุบันนี้ แม้แต่ลูกศิษย์คนสนิทใกล้ตัวท่าน ก็มิได้รู้ความลับนี้เลย ทุกคนทราบเพียงแค่ว่า เมื่อหลวงพ่อสงวนทำเสร็จ ท่านเรียกพระนี้ว่า " พระคำข้าว " แต่ข้อมูลเพียงแค่นี้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ที่จะยืนยันความฝันของตัวเองอีกครั้งว่ามิใช่ละเมอเพ้อพก หรือ ฝันเลื่อนลอย

พระคำข้าว เนื้อละเอียด หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi


( ต้องขออภัยนะครับ ผมไม่อยากเรียก พระพิมพ์นี้ว่า สมเด็จตัวหนอน อย่างชาวบ้านเขา กลัวเกิดเป็นหนอน 500 ชาติน่ะ ไปเรียกพระว่า ตัวหนอนได้ไงล่ะนั่น )

เรื่องราวของ ข้าวทิพย์ หรือ ข้าวเทวดานั้น ตามประวัติครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยสำผัส เช่น หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ อีกหลายๆองค์ กล่าวไว้ตรงกันว่า ข้าวนั้น มีลักษณะ มีสีเหลืองน้อยๆ เม็ดคล้ายๆกับข้าวบนเมืองมนุษย์ของเรา แต่มีขนาดสั้นกว่า และ มีกลิ่นหอม และ รสอร่อยมาก ... แน่นอนครับ คนที่ผมฝากถาม และ ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ตัวท่าน ไม่มีใครทราบเกี่ยวกับข้าวที่ว่านี้เลย แม้แต่พี่เสี่ยไร่อ้อย จึงเป็นไปไม่ได้ว่า จะกุเรื่องขึ้นมา เพราะผมก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความฝันผมไปเลย ฝากถามเพียงว่า มีใครรู้เรื่องบ้างว่า หลวงพ่อสงวน ท่านใช้ข้าวอะไรทำพระ ก็แค่นั้น...คำตอบที่ได้มา ครับ...ใช่เลย

บางองค์ก็มีเส้นเกศา หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ผสมอยู่ด้วย

Khunpannoi


หลักฐานเพียงสิ่งเดียวที่พอจะพิสูจน์เรื่องนี้ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็คือ มวลสารขององค์พระคำข้าว นั่นเองครับ วันนี้ผมจะพาท่านไปเจาะลึก เรื่องมวลสารของพระคำข้าวกัน มาเริ่มกันที่พิมพ์ต้นฉบับกันก็แล้วกัน

ถ้าลองสังเกตุกันให้ดี จะพบว่า พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ แต่ละองค์นั้น สีจะออกเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ซึ่งเป็นสีที่มาจากเมล็ดข้าวสีเหลืองที่ว่านี่เอง เมื่อส่องดูมวลสารองค์พระ จะพบเห็นเม็ดข้าวที่ละเอียดนั้น ผสมไปกับผงอิทธิเจ ทำให้สีอ่อนจางลง แต่ก็ยังพบเม็ดข้าวที่บดไม่ละเอียดหลงเหลืออยู่ในเนื้อพระเป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งส่วนที่ยังเป็นเม็ดไม่ละเอียดนี้เอง ที่ทำให้ทราบว่า เมล็ดข้าว นั้นแต่เดิมมีสีเหลือง อย่างที่ได้รับข้อมูลมาจริงๆ

นี่แหละครับ เม็ดข้าวสีเหลืองในตำนาน

Khunpannoi

พบกระจายอยู่ทั่วๆไปในเนื้อพระ นี่คือ หลักฐานชั้นดี ที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมที่สุด

Khunpannoi

ตัวอย่าง อีกมุมหนึ่ง

Khunpannoi


บางคน อาจจะคิดว่า บางทีหลวงพ่อสงวน ท่านอาจจะเอาข้าวมาย้อมสีเหลืองก็ได้ อย่าคิดอกุศลไปขนาดนั้นเลยครับ ผมว่าท่านคงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอกครับ เพราะผมบอกไปแล้วว่า หลวงพ่อสงวน ท่านมิได้ปริปากบอกเรื่องข้าวนี้แก่ใครเลย ดังนั้น ท่านคงไม่จำเป็นต้อง ย้อมสีข้าวให้เหลืองเพื่ออวดอ้างตัวเองหรอกครับ

ด้านหลัง พระคำข้าวเนื้อละเอียด หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

ลองสังเกตุกันดูนะครับ เนื้อพระจะเป็นไปในลักษณะที่ผมว่า และ ยังหลงเหลือ ส่วนที่ยังบดไม่ละเอียดดี ปรากฏเป็นเนื้อสีเหลืองๆ เป็นหย่อมๆให้เห็นอยู่ทั่วไป

ขยายดูมวลสารพระองค์นี้กันชัดๆครับ

Photobucket

กลุ่มเนื้อข้าวที่บดไม่ละเอียด ปรากฏให้เห็นเป็นกลุ่มก้อนสีเหลืองชัดเจน

Khunpannoi

เม็ดข้าวสีเหลือง ที่ปรากฏ ในพระคำข้าว เนื้อละเอียดอีกองค์หนึ่ง

Khunpannoi

ส่วนเม็ดนี้ อยู่ในพระคำข้าว พิมพ์พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น จำกันได้หรือเปล่า

Photobucket


ดูกันชัดๆ อีกครั้ง เม็ดข้าวสีเหลือง ที่หลุดออกจากเนื้อพระองค์หนึ่ง ( องค์ไหน ผมอุบไว้ก่อนแล้วกัน จะเฉลยให้ฟังในตอนหน้า ) ลองสังเกตุลักษณะกันให้ดีนะครับ ลองนึกถึง เมล็ดข้าวทรงกระบอกตัดตามขวาง จะเห็นว่า ลักษณะ และ ขนาดนั้น เหมือนเมล็ดข้าวปกติเรานี่เอง หากแต่มีสีเหลือง...ใครนึกไม่ออก ลองเดินไปในครัว แล้วหยิบเมล็ดข้าวในหม้อหุงข้าวออกมาแล้วหักตามขวางดูนะครับ จะเห็นว่า เนื้อและลักษณะ รวมทั้งขนาด นั้นเหมือนกันทุกประการ ต่างกันที่สีสันเท่านั้น

Khunpannoi


จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมด นี่ก็คือ หลักฐานที่ยืนยันอย่างเป็นรูปธรรม ถึงเรื่องราวที่กล่าวถึงข้าวที่หลวงพ่อสงวนท่านนำมาทำเนื้อพระ ว่ามีลักษณะอย่างไร ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้กันหรอกครับ มีแต่ตาขุนแผนน้อยนี่แหละ ที่ขยันคิด และ นำเรื่องราวแบบนี้มาฝากท่าน ในตอนหน้า เรามาต่อเรื่องราวของพระคำข้าวกันอีกทีแล้วกันนะครับ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่หลายๆคนไม่ทราบ เช่น หลวงพ่อสงวน ท่านไปได้ตำราสร้างพระคำข้าวมาจากไหน และ ท่านได้ข้าวนี้มาได้อย่างไร ตอนหน้า ผมจะพาไปสันนิษฐานกันตามแบบฉบับของ ขุนแผนน้อย ก็แล้วกัน และ อีกอย่างคือ ผมจะเปิดเผยให้ทราบว่า พระคำข้าว ที่สายตรงอยากได้กันนักหนา อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่ท่านคิด วันนี้ลาไปก่อน นอนหลับฝันดีครับทุกท่าน

19 กรกฎาคม 2552

หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ : หลวงพ่อมาโปรดอีกครั้ง ตอนที่ 2

ตอนที่แล้วทิ้งคำถามให้ทายเรื่องเนื้อพระกันไว้ มีน้องทายมาถูกซะด้วยนะครับ แหม...นี่ใครคิดจะแหกตาเรื่องเนื้อพระหรือของเก๊ ของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ คงต้องคิดหนักล่ะ เพราะแม้แต่มือใหม่ ก็ชักจะดูกันเก่งแล้ว อย่างที่ผมบอกไว้แหละครับว่า อย่าคิดว่าชาวบ้านเขาโง่ หรือ กินหญ้า ดูไม่ออกกันนะครับ วันนี้ก็มาต่อเรื่องพระแหวกม่านยุคต้น เนื้อปริศนากันต่อไปนะครับ ว่าจริงๆแล้วเป็นเนื้ออะไรกันแน่ ใครทายไว้ว่าอย่างไรบ้างเอ่ย ดูซิว่า ท่านจะทายถูกหรือเปล่า

ลองดูเนื้อพระชัดๆอีกทีนะครับ จะเห็นว่า เนื้อพระนั้นออกในแนวเนื้อขาวนวลใส บางส่วนยังผสมกันไม่ดีนัก โดยเฉพาะพระพักตร์ด้านซ้ายขององค์พระ จะยังคงเห็นเนื้อใสกว่าบริเวณอื่นๆชัดเจน

Photobucket


เนื้อที่คุ้นตาแบบนี้ ทำให้ผมสงสัยว่า ฤาจะเป็นเนื้อพระในตำนาน?? เลยเอาพระองค์หนึ่งออกมาเทียบดู และ แล้วก็เจอความจริงว่า พระองค์นี้มีเนื้อหาเช่นเดียวกับพระองค์ด้านขวา เพียงแต่ว่า พระจะออกโทนสีขาวนวลมากกว่า เมื่อดูกันชัดๆ จะเห็นว่า เนื้อพระตามแนวที่ลูกศรชี้ ยังคงมีเนื้อหา และ สีสันเดิมๆ เหมือนองค์ด้านขวา คงเนื่องมาจาก เนื้อพระเดิมกับผงอิทธิเจ ไม่ได้ผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้เห็นเนื้อเดิมๆปรากฏอยู่ทั่วๆไป

Khunpannoi

ลองขยายกันดูชัดๆหน่อยนะครับจะเห็นว่า เนื้อพระมีลักษณะเดียวกัน ต่างกันที่สีสันเท่านั้น

Photobucket


ถึงตอนนี้ หลายๆคนอาจจะถึงบางอ้อกันแล้วนะครับ ว่านี่คือ พระเนื้ออะไร มาดูกันต่อครับ รอยเนื้อพระที่ดูขรุขระ และ รอยยับย่น แบบที่เห็นในภาพด้านล่างนี้ เป็นเอกลักษณ์ของพระเนื้อด้านขวาครับ เนื่องจาก เนื้อพระลักษณะนี้จะค่อนข้างเหนียวหนืด ไม่ได้อ่อนตัวเช่นพระเนื้อผงของหลวงพ่อสงวนทั่วไป ทำให้กระจายตัวตามแม่พิมพ์ได้ไม่ดีนัก จึงเกิดลักษณะดังกล่าวขึ้น

Khunpannoi

ครับ และ นี่คือ พระเนื้อในตำนานที่หลายๆคนใฝ่ฝันถึง พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ นั่นเองครับ แต่คราวนี้ Transformer ( เห็นกำลังฮิต ยืมมาใช้หน่อยละกัน ) มาอยู่ในพิมพ์พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้นยอดนิยม

Khunpannoi


ดูเผินๆแล้ว แทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่า นี่คือ พระคำข้าว ถ้าไม่ส่องกล้องเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเนื้อพระแล้วล่ะก็คงไม่มีทางทราบได้เลย ที่น่าสังเกตุอีกอย่างก็คือ กลิ่นหอมอ่อนๆที่ออกมาจากองค์พระนั้น เป็นเอกลักษณ์อีกอย่าง ที่ชี้ชัดลงไปว่า นี่คือ พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ จริงแท้และแน่นอน

พระองค์นี้ น่าจะเกิดจาก หลวงพ่อสงวน ท่านนำเนื้อพระที่เหลือจากการทำพระคำข้าว มาผสมกับผงอิทธิเจ อาจจะเพื่อเพิ่มความขลัง หรือ เพื่อให้เนื้อพระมีปริมาณมากขึ้นเพียงพอที่จะนำมากดเป็นพิมพ์พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น เหตุที่ผมฟันธงว่า เป็นเนื้อมวลสารพระคำข้าวที่ผสมเสร็จมาแล้ว ก็เนื่องจาก ในเนื้อพระเดิมๆที่ไม่ผสมเป็นเนื้อเดียวกับผงอิทธิเจที่เติมลงไปใหม่นั้น ยังปรากฏ เม็ดผงอิทธิเจแบบพระคำข้าวอยู่ครับ ลองดูตามภาพที่ลูกศรชี้ สังเกตุเม็ดผงสีขาวกลมๆที่ปรากฏอยู่ แล้วลองเทียบกับ เนื้อพระคำข้าวข้างๆครับ ต้องไม่ลืมนะครับว่า นี่คือส่วนที่ไม่ได้ผสมกับผงอิทธิเจที่เติมลงมาใหม่ ทำให้ยังเป็นเนื้อเดิมอยู่ แล้วจุดกลมสีขาวจะมีขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่ได้มีมาแต่เดิม

Khunpannoi


อาจมีคนแย้งว่า หลวงพ่อสงวน ท่านอาจจะนำเนื้อข้าวมาผสมผงอิทธิเจ เพื่อทำพระองค์นี้ขึ้นมาแบบเฉพาะเลยก็ได้มั้ง ลักษณะที่ว่า ก็เกิดได้เหมือนกัน เหตุที่ผมไม่คิดเช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลดังนี้ครับ ถ้าจำได้ ผมได้บรรยาย ลักษณะมวลสารของพระองค์นี้ ไว้ในตอนก่อนว่า มีว่านสีน้ำตาล กระจายอยู่ทั่วๆไป รวมทั้งแร่สะเก็ดดาว และ มวลสารอื่นๆ เหตุใดพระองค์นี้จึงมีมวลสารเช่นนั้นได้ ในขณะที่พระคำข้าวเดิมไม่มี ??? ภาพนี้คือ คำตอบครับ

Khunpannoi


ในเนื้อพระบางส่วนนั้น ยังปรากฏเห็นมวลสารขนาดใหญ่ของพระแหวกม่านยุคต้นเนื้อสีน้ำตาล ที่ไม่ได้ผสมเป็นเนื้อเดียวกับพระ โดยก้อนสีน้ำตาลที่เห็นนั้น ยังมีมวลสารอันเข้มข้นของพระเนื้อสีน้ำตาลอยู่เต็มเปี่ยม แต่เนื้อยังเกาะกันอยู่อย่างหลวมๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มวลสารนี้ถูกผสมไว้เพื่อใช้ทำพระเนื้อสีน้ำตาล ถ้าเป็นเนื้อพระบด เนื้อน่าจะแข็ง และ อัดแน่นกว่านี้ และ หลวงพ่อสงวน ท่านคงไม่จำเป็นต้องนำพระเนื้อน้ำตาลมาบดกระมังครับ เพราะท่านเองก็มีมวลสารอยู่แล้ว ปกติพระที่บดนั้น จะเป็นพระกรุ หรือ พระเก่า ที่ท่านทำมวลสารเองไม่ได้

จากหลักฐานที่ปรากฏ น่าจะสันนิษฐานได้ว่า ในวันที่มีการทำพระคำข้าวนั้น มีการทำพระแหวกม่านยุคต้นเนื้อสีน้ำตาลด้วย และ คงมีมวลสารที่เหลือจากการทำพระทั้งสองพิมพ์ หลวงพ่อสงวน ท่านจึง น้ำเนื้อพระทั้งสองที่เหลืออยู่มาผสมกัน รวมทั้ง เติมผงอิทธิเจ เพิ่มเติมลงไปด้วย เพื่อให้ได้พุทธคุณเพิ่มขึ้น และ ได้มวลสารเพียงพอที่จะทำพระองค์นี้ จากนั้น จึงนำเนื้อที่ผสมได้ มากดบนพิมพ์พระแหวกม่านยุคต้น เกิดเป็นพระองค์นี้ขึ้นมา ดังนั้น พระองค์นี้ จึงอาจจะเป็นแค่หนึ่งเดียวที่มีในวันนั้นก็เป็นได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า มวลสารที่เหลือนั้น ย่อมเกิดจากเนื้อมีไม่พอที่จะทำพระองค์ใหม่เต็มองค์ได้ หลวงพ่อสงวนท่านจึงนำมาผสมกันเป็นองค์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งธรรมดาของที่มีชิ้นเดียว หลวงพ่อสงวน ท่านคงลงอะไรไว้ไม่ธรรมดาแน่นอน หลักฐานน่ะเหรอครับ ผมไม่มีมายืนยันท่านหรอก ที่ผมคิดได้ก็มีแค่ การที่ท่านแสดงปาฏิหารย์มาหาผมถึงถิ่นที่อยู่ได้ แถมยังดลใจให้ออกไปรับนี่แหละ ... แค่นั้นก็เพียงพอที่จะบอกถึงความแรงแล้ว

ผงอิทธิเจที่เติมลงไปใหม่ ไม่ได้ผมเป็นเนื้อเดียวกันกับ เนื้อพระดิมทั้งหมดซะทีเดียว ส่วนที่ผสมได้ ก็จะเกิดเป็นสีขาวนวล แต่ยังคงสีสันของเนื้อดั้งเดิมอยู่ ส่วนผงอิทธิเจที่เหลือ ก็จะเกาะเป็นผงขาวๆปรากฏให้เห็นตามร่องเนื้อพระอยู่ทั่วๆไป

Khunpannoi

นี่แหละครับ คือ คำตอบที่ว่า เหตุใดพระองค์นี้ จึงมีคราบผงอิทธิเจติดอยู่ตามร่องพระทั่วๆไป ซึ่งไม่มีให้เห็นในพระแหวกม่านองค์อื่น

Khunpannoi


และ เม็ดสีเหลืองปริศนา ที่ผมกล่าวไว้ในตอนก่อน ก็เป็นจุดตาย อันหนึ่ง ที่ใช้สังเกตุพระเนื้อนี้ได้ ส่วน เม็ดสีเหลืองที่ว่านี้คืออะไร เอาไว้ฟังกันต่อ ตอน พระคำข้าวของหลวงพ่อสงวน แล้วกันนะครับ

นี่คงเป็นพระอีกองค์หนึ่ง ของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ที่รวมสิ่งสุดยอดหลายอย่างไว้ด้วยกัน ไม่ว่า จะเป็น พิมพ์พระแหวกม่านยุคต้น พิมพ์ยอดนิยมที่กล่าวขานถึงประสบการณ์กันมาก และ สายตรงทั้งหลายใฝ่ฝันถึงที่สุด รวมทั้งพิมพ์พระที่คมชัด รูปทรงก็สวยงาม แบบที่เรียกว่า สวยแชมป์ แถมยังมีมวลสารอย่าง พระคำข้าว และ พระเนื้อน้ำตาล ซึ่งถือว่า สุดยอดทั้งคู่ ไม่อยากคิดเลยว่า จะแรงขนาดไหน แค่ท่านเสด็จมาหาถึงถิ่นที่อยู่ผมนี่ ก็ปรากฏอัศจรรย์นักหนาแล้วล่ะครับ แสดงว่า พระองค์นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ และนี่ ก็คือ บันทึกอีกหนึ่งหน้าของ " พระมีขา " องค์ล่าสุดของผมครับ....

17 กรกฎาคม 2552

หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ : หลวงพ่อมาโปรดอีกครั้ง

สวัสดีครับ ต้องขออภัยเช่นเคยที่ห่างหายกันไปหลายวัน กว่าจะว่างมาพบกับแฟนพันธุ์แท้ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ นี่หาเวลากันยากเย็นกันเหลือเกิน เอาน่ะ ถือโอกาสแก้ตัวที่ปล่อยให้รอกันหลายวัน กลับมาพบกันครั้งนี้ ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว คราวก่อนคงจำกันได้นะครับ ที่ผมลงเรื่องหลวงพ่อสงวนมาโปรด เรื่องพระขุนแผนหลังจาร และ ได้ให้กำลังใจแก่พี่ๆน้องๆที่เพิ่งเข้ามาสนใจศึกษา หรือ แม้แต่คนเก่า ที่คิดว่า พระหลวงพ่อสงวน หายากมากแล้วคงมีโอกาสได้ของดีๆท๊อปๆน้อย หรือ แทบไม่มีเลย วันนี้ก็มีเรื่องแปลกๆมาฝากกันครับ หลวงพ่อท่านมาโปรดผมอีกครั้งในช่วงเวลาห่างกันไม่ถึงอาทิตย์ดีเลย

วันพฤหัสที่ผ่านมานี่เองผมเหมือนมีอะไรมาดลใจอยากให้ไปเดินตลาดเปิดท้าย ทั้งที่ผมห่างหาย ไม่ไปเดินเลยมาตั้งนาน จู่ๆนึกอยากไปซะงั้น ว่าจะไปหาอะไรมากินหน่อย และ จะหาซื้อซีดีหนังมาดูซะหน่อย พอไปถึง เกิดไม่นึกอยากอะไร และ ขณะที่จะตรงไปร้านซีดีนั่นเอง ผมก็สังเกตุเห็นแผงพระเจ้าหนึ่งอยู่ห่างไปด้านซ้าย ทีแรกก็ไม่คิดแวะดู ( เพราะดูมากี่ปีๆก็ไม่เคยได้อะไร ) บังเอิญสุภาพสตรีที่ไปด้วย เค้าจะเดินไปดูของทางนั้น ผมก็เลยต้องเลี้ยวตาม ( ขืนไม่ตามไปอาจถึงตายได้ แหะๆ^_^ ) ผ่านแผงพระเลยต้องหยุดดูซะหน่อย สายตากวาดไป ไม่น่าเชื่อ แผงพระที่ผมดูมากี่ทีๆก็ไม่เคยมีอะไร แผงนี้เป็นเจ้ามาใหม่ กวาดสายตาไปก็จ๊ะเอ๋พระองค์หนึ่ง แว่บแรกที่เห็นผมก็ขนลุกซู่ด้วยความดีใจ แต่...ต้องเก็บอาการไว้ก่อน กลัวเค้าจับไต๋ได้ จะโดนฟันมิใช่น้อย ลองถามราคาดู เค้าบอกว่า 150 บาท ถามป้าแกว่า หลวงพ่ออะไรครับ แกบอก ไม่ทราบ เลยต่อรองแกได้ที่ 80 บาทครับ ถามแกว่า ป้ามาจากไหน แกบอกมาจากสุพรรณ ( เห็นพระก็รู้แล้วล่ะป้า ถามไปงั้นแหละ แหะๆ ) ครับ มิตรรักแฟนเพลงทั้งหลาย พระองค์นี้แหละที่มาโปรดผมถึงถิ่น แถมสามารถดลใจผมให้ออกมารับท่านได้ สมแล้วที่เป็นพิมพ์ที่ได้รับการกล่าวขานถึงประสบการณ์มากที่สุด

พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

องค์นี้สภาพต้องเรียกว่า สวยแชมป์ พิมพ์คมชัดมีหน้าตา แถมตัดทรงพระได้ตรงมาก เรียกว่า สวยเปอร์เฟคจริงๆ พอพลิกด้านหลัง พบว่า ด้านหลังไม่เรียบนัก น่าแปลกมาก เพราะพระพิมพ์นี้ทุกองค์ที่เจอมา ล้วนหลังเรียบทั้งนั้น

Khunpannoi

ตอนที่ได้มาแรกๆนั้น เป็นช่วงเวลากลางคืน ทำให้ผมคิดว่า องค์นี้น่าจะเป็นพระเนื้อสีเหลือง ซึ่งหาได้ยากมาก แต่พอตอนเช้ามาเทียบกับองค์เนื้อสีเหลืองจริงๆ พบว่า สีต่างกันมาก

Khunpannoi

ด้านหลังยิ่งแตกต่างกันชัดเจน

Khunpannoi

คั่นเวลานิดนึงแล้วกันนะครับ จากภาพด้านบนบางท่านอาจจะคิดว่า พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น เนื้อสีเหลือง นั้น ดูๆไปคล้ายสีน้ำตาลอ่อนเหมือนกัน ลองเทียบกับพระเนื้อน้ำตาลแท้ๆดูแล้วกันนะครับ

Khunpannoi

ลองสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า พระทั้งสององค์นั้น มาจากบล๊อคเดียวกันครับ ขนาดเท่ากันทุกประการ พลิกดูด้านหลังจะเห็นว่า เนื้อหานั้นแตกต่างกันชัดเจน ที่สังเกตุได้อีกอย่างคือ พระองค์สีเหลืองไม่มีดอกว่านสีน้ำตาลอย่างพระเนื้อน้ำตาล

Khunpannoi

กลับมาที่พระเนื้อปริศนาองค์นี้กันต่อนะครับ เอ...จะว่าพระเนื้อสีน้ำตาลก็ไม่ใช่ เนื้อเหลืองก็ไม่เข้ากัน หรือ จะเป็นพระเนื้อสีขาว ก็ไม่ใช่อีก เพราะพระเนื้อขาว ขนาดจะองค์เล็กกว่านี้ และ พิมพ์จะไม่ค่อยคมชัดเท่าไหร่ แล้วพระองค์นี้เป็นเนื้ออะไรกันแน่ ถ้าท่านได้เคยอ่านบทความที่ผ่านๆมาของผมจะเห็นว่า พระหลวงพ่อสงวน พิมพ์แหวกม่านยุคต้นนั้น มีอยุ่แค่ 7 เนื้อ 7 สีเท่านั้นเอง แล้วพระองค์นี้ ทำไมไม่เข้ากับเนื้อพวกไหนเลย หรือ จะเป็นของเก๊ ??? ...นี่พวกผีมันปลอมพิมพ์นี้แล้วหรืออย่างไร มาดูก่อนต่อดีกว่า

เมื่อพิจารณาองค์พระดีๆ ก็พบว่า เนื้อพระนั้นเก่าได้อายุ และ ด้านหลังองค์พระที่ติดรูปถ่ายหลวงพ่อสงวน หน้าหนุ่มนั้น พบว่า ขอบรูปถ่ายมีการ โก่งตัว ทำให้มองเห็นรอยกาวเก่า และ มีเนื้อพระบางส่วนติดขึ้นมาด้วย แสดงว่า รูปนี้ผ่านกาลเวลามาไม่น้อย ไม่ใช่รูปที่ติดใหม่ ( รูปติดใหม่ น่าจะเรียบไปกับพระเลย ) ดังนั้น ตัดปัญหาเรื่องพระเก๊ไปได้เลย แล้วทำไมเนื้อไม่เหมือนพระองค์ไหนล่ะ ???

Khunpannoi

เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ พบว่า เนื้อพระนั้น มีสีขาวอมเหลือง ผิวใสผิดปกติ ลองดูด้านข้าง เทียบกับพระเนื้อน้ำตาลครับ ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่า มีผลึกสีเหลืองอยู่ตรงกลางด้วย ผลึกนี้ผมคุ้นตาพิกล ว่าเคยเห็นที่ไหน เหมือนเคยเห็นในพระหลวงพ่อสงวน พิมพ์ไหนน๊า นึกไม่ออก และ มีว่านสีน้ำตาล เหมือนพระเนื้อน้ำตาล กระจายอยู่บางๆทั่วๆไป

Khunpannoi

ดูด้านบน เนื้อพระดูขาวนวลผิดปกติมาก และ สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นอีกอย่างคือ กลุ่มผงอิทธิเจ ที่เกาะอยู่ตามซอกเนื้อพระ พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้นของหลวงพ่อสงวนที่ผมเจอมา ไม่มีองค์ไหนที่มีลักษณะนี้เลย นี่เป็นพระเนื้ออะไรกันแน่เนี่ย??

Khunpannoi

ดูด้านล่างองค์พระก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน

Photobucket

ลองขยายดูกลุ่มผงชัดๆ สังเกตุเนื้อพระรอบๆที่ดูขาวนวลใสผิดปกตินะครับ

Khunpannoi

เมื่อส่องกล้องดู พบว่า เนื้อพระนั้นมีสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นสีเหลืองใส และ สีขาวของผงอิทธิเจ ซึ่ง ผสมกันไม่ดีนัก

Photobucket

เมื่อดูที่พระพักตร์องค์พระ จะเห็นส่วนที่เป็นเนื้อสีเหลืองใส กับ ผงอิทธิเจ ที่แยกจากกันชัดเจน เอ..เนื้อพระแบบนี้คุ้นๆตาพิกล ...มีใครพอนึกออกบ้างหรือยังครับ แฟนพันธุ์แท้ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ทุกท่าน

Khunpannoi


อืมมม ตกลง พระแหวกม่านยุคต้นหลวงพ่อสงวน องค์สวยแชมป์ เนื้อปริศนา นี้คือ เนื้ออะไรกันแน่เนี่ย ผมทิ้งไว้ให้คิดกันเล่นๆ แล้วกันนะครับ คราวหน้าเดี๋ยวจะมาเฉลยให้ฟังกัน ใครจะลองทบทวนวิชาดูพระหลวงพ่อสงวนก็ไม่ว่ากันนะครับ อ่านกันมาเยอะแล้วนี่ คงไม่ยากกันจนเกินไปนัก ลองทายส่งมาเล่นๆก็ได้นะครับ แต่ไม่มีรางวัลให้หรอกนะวันนี้ผมขอลาไปก่อน หลับฝันดีกันนะครับทุกๆท่าน สวัสดีครับ

เกี่ยวกับฉัน