31 ตุลาคม 2552

หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ไม่ใช่ผู้ที่สร้างพระยุควัดทุ่งแฝกจริงหรือ? ตอนที่ 2

สวัสดีครับ วันนี้เรามาคุยกันต่อเรื่อง หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ไม่ใช่ผู้ที่สร้างพระยุควัดทุ่งแฝกจริงหรือ? กันต่อนะครับ พูดถึงเรื่องพระแหวกม่านพิมพ์ขาโต๊ะ ไปแล้ว หากจะไม่ย้อนกลับมากล่าวถึง พระคำข้าว ซึ่งมีพิมพ์แบบเดียวกัน สร้างในยุคทุ่งแฝกเหมือนกัน เรื่องราวคงจะจบไม่สมบูรณ์นัก เพราะไม่งั้น ก็จะหาว่า พระคำข้าว ก็คงเป็นพระหลวงตาปิ่นสร้างอีก ไปดูกันดีกว่าครับ


พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

ไม่น่าเชื่อนะครับ พระที่โดนกล่าวหาว่าเป็นพระเก๊ในกาลก่อน ไม่มีใครเหลียวแล ตอนนี้กลับเป็นที่เสาะแสวงหากันมาก แต่ก็หาของไม่ได้ พระคำข้าวองค์นี้ก็เป็นพิมพ์พระแหวกม่านขาโต๊ะแบบเดียวกับพระในตอนก่อนนั่นเอง

Khunpannoi

พระคำข้าวองค์นี้มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งก็คือ

Khunpannoi

สังเกตุในวงกลมสีแดงนะครับ จะเห็นเส้นเกศาหลวงพ่อสงวน โผล่ขึ้นมาจากเนื้อพระ

Photobucket

ภาพขยายให้เห็นลักษณะเส้นเกศาชัดๆครับ เส้นเกศาสีน้ำตาลแดงใส ลักษณะอวบใหญ่แบบนี้ เป็นของใครไปไม่ได้หรอกครับ นอกจากหลวงพ่อสงวน

Khunpannoi

เมื่อส่องไปพบว่าพระองค์นี้ยังมีเส้นเกศาอีกเส้นหนึ่งครับ พยายามถ่ายให้ชัดแล้ว แต่โฟกัสยากมากๆ เส้นนี้เป็นเส้นสีขาว ลักษณะอวบใหญ่ และ ใสเหมือนเส้นเอ็นแบบนี้ คงไม่ต้องพูดกันให้มากความหรอกครับ ว่าเป็นเส้นเกศาของใคร

จะว่าไป ก็นับว่าหลวงพ่อสงวน ท่านเป็นพระที่มีวิสัยทัศน์เป็นอย่างมาก ที่ท่านได้ทำการติดรูปถ่าย และ ใส่เส้นเกศาของท่าน ไว้ในเนื้อพระ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกชัดเจนว่า ท่านคือผู้ที่สร้างพระเหล่านี้ ขนาดมีหลักฐานชัดเจนแบบนี้ พวกระยำมันยังหาว่า พระทุ่งแฝกไม่ใช่พระที่ท่านสร้างไปซะได้ บางทีหลวงพ่อท่านอาจจะทราบกระมังครับว่า ต่อไปในภายภาคหน้า จะมีคนกล่าวหาว่า พระเหล่านี้ไม่ใช่ท่านทำ ท่านจึงได้ติดรูปถ่ายของท่านไว้ เฮ้อ...นี่ขนาดท่านติดไว้แท้ๆยังขนาดนี้ ถ้าท่านไม่ติดไว้จะขนาดไหน จากหลักฐานที่กล่าวมาพอเราไล่เลียงพระคำข้าว และ พระพิมพ์ขาโต้ะ ก็จะโยงไปหาพระเนื้อแก่ดินกรุยุคต้นวัดทุ่งแฝกอีกเช่นกัน


Khunpannoi


เห็นหรือยังครับ ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพระยุคต่างๆ ทุกอย่างว่ากันไปตามพยานหลักฐานล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องที่จะมากล่าวเลื่อนลอย หรือ คิดเองเออเอง อย่างที่คนขายพระระยำบางคนมันพยายามบอก ซึ่ง พระและ ประคำเนื้อดินเส้นข้างบน ก็จะโยงไปหาพระและลูกอมอื่นๆอีกมากมาย ลองย้อนกลับไปใล่เรียงดูจากตอน การดูเนื้อพระหลวงพ่อสงวน ในตอนต้นๆแล้วกันนะครับ ผมคงไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก ผมย้ำไว้เสมอว่า เนื้อพระ พิมพ์พระ และ มวลสาร ของหลวงพ่อสงวนจะเกี่ยวข้องโยงใยซึ่งกันและกันเสมอ จะไม่มีมวลสารที่แปลกแยกออกไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เห็นเสมอ ไม่เช่นนั้นก็ห่างๆไว้แล้วกันครับ เพราะเสี่ยงต่อการยัดวัด ซึ่งแค่ติดรูปถ่ายใบเดียวก็ยัดได้แล้ว ผมเองก็ไม่เถียงหรอกครับว่า ของที่ไม่เคยเห็นใช่ว่าไม่มี ผมเองก็ใช่จะรู้ไปซะหมด แต่ไม่ว่าจะยังไง ของส่วนใหญ่ที่เคยเห็นมาก็จะไม่หลุดจากเนื้อ พระและมวลสารที่ผมเคยกล่าวมาตั้งแต่ต้น เพราะเรื่องราวเหล่านี้ได้ผ่านการตรวจสอบมาจนมั่นใจแล้ว ถึงได้มาเขียนให้ท่านๆได้อ่านกัน ก็ใช้วิจารณญาณกันเองก็แล้วกันนะครับ ผมไม่สนมาตรฐานของคนขายพระหรอกครับ เพราะผมเล่นพระ เพื่อหวังพุทธคุณเป็นสำคัญ ไม่ได้หวังเพื่อจะขายพระไปตามมาตรฐานที่คนระยำมันพยายามสร้าง ว่า พระหลวงพ่อสงวน ต้องพระวัดไผ่พันมือเท่านั้น หรือ ต้องตามพิมพ์นิยมบ้าบอคอแตก ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ใช้เกณฑ์อะไรตั้ง ผมเองพยายามบันทึกเรื่องราวของพระท่านไว้ให้มากที่สุด เท่าที่จะมีความสามารถทำได้ ไม่งั้น ต่อไปพระแท้ก็กลายเป็นพระเก๊ไปหมด ท่านไม่ต้องกังวลหรอกครับว่า ผมจะมายัดเยียดเรื่องราวอะไรให้ท่าน เพราะไม่รู้ผมจะทำไปเพื่ออะไร และ ได้ประโยชน์อะไร คิดและ พิจารณาด้วยตัวท่านเองครับ ผมน่ะไม่เดือดร้อนหรอกว่า ใครจะกล่าวหาผมว่ายังไง ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ มันบิดไม่ได้เหมือนคำพูดคน บางทีเขียนๆไปก็เบื่อๆเหมือนกันครับ โดนแล้วโดนอีก ประเคนให้ซะจริงว่า ขุนแผนน้อยนี่เลวเสียเต็มประดา บางทีก็ท้อ เพราะไม่รู้จะทำไปเพื่อให้โดนด่าทำไม แต่ถ้าผมไม่เขียน ก็คงไม่มีใครทำ คงไม่มีใครกล้าเผยแผ่ความจริง มีแต่เรื่องบิดเบือนปะปนมากมาย เพราะมันมีแต่ผลประโยชน์บังตา อยากว่า อะไรก็ว่าไปแล้วกันครับ ท้อก็พัก มีแรงก็เขียนต่อแล้วกัน ไม่มีแรงเขียนก็ไม่ได้เดือดร้อนกับใคร ผมบอกแล้วว่า ผมเอาตัวรอดได้ ที่เขียนๆมาก็เพื่อต้องการเผยแผ่เรื่องราวของหลวงพ่อ เพื่อผู้ที่ศรัทธา หรือ เข้ามาใหม่ๆจะได้มีหลักเกณฑ์ไว้เพื่อพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการเล่นหาของแท้กันได้ถูกทางเท่านั้น

ผมเองไม่มีพระขายให้ท่านหรอกครับ มีแต่ความรู้เท่านั้นแหละที่ให้ ไม่มีใครมาสอนท่านหรอกว่า พระหลวงพ่อสงวน ดูกันยังไง นำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ก็แล้วกันนะครับ วันนี้ลาไปก่อนครับ สวัสดีครับ

28 ตุลาคม 2552

หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ไม่ใช่ผู้ที่สร้างพระยุควัดทุ่งแฝกจริงหรือ?

สวัสดีครับ วันนี้ก็มาต่อเรื่องที่ผมค้างไว้เมื่อวานนะครับ เรื่องที่มีคนพยายามปล่อยข่าวว่า พระยุควัดทุ่งแฝก ไม่ใช่พระที่หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ สร้าง แต่เป็นหลวงตาปิ่น วัดโพธิ์นฤมิตร สร้าง ว่าเข้าไปนั่น ไปกันหนักกล่าวหาว่า พระแหวกม่านยุคต้น พระประธานห้าชั้น ก็กลายเป็นหลวงตาปิ่นสร้างไปซะ ได้ยินแล้วก็อนาถใจครับ วันนี้เรามาว่ากันเรื่องนี้อีกสักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวเค้าหาว่า เอาพระแก่ผงน้ำมันองค์เดียวมาอ้างแล้วโมเมข้อมูลไปซะทั้งหมด

เรื่องของ หลวงตาปิ่น วัดโพธิ์นฤมิตร นี่ผมเองก็แปลกใจ เพราะลองถามลุงสุด กับ ป้าฉัตร ก็ไม่มีใครรู้จัก แกทำหน้างงๆ บอกไม่รู้จัก พอผมบอกว่า หลวงตาปิ่น วัดโพธิ์นฤมิตร ลุงสุดทำท่าเหมือนจะนึกออกลางๆ แต่ไม่ค่อยแน่ใจ บอกว่า ไม่เคยเห็นท่านมาวัดไผ่พันมือเลยนะ ไม่ทันหลวงพ่อสงวนหรอก ป้าฉัตรช่วยยืนยันอีกคน ผมก็เลยงงว่า ตกลงใครเป็นคนเต้าข่าวว่า หลวงตาปิ่น สร้างพระยุควัดทุ่งแฝก กัน ทั้งที่พระยุควัดทุ่งแฝกนั้น มีปริมาณไม่น้อย ถ้าท่านทำจริง แสดงว่า ท่านต้องทำพระเยอะมาก แต่ทำไม ชาวบ้านแถบนั้น ไม่รู้จักกันเลยซักคน ทุกคนกลับรู้แต่ว่า พระเหล่านี้ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ เป็นคนทำ อีกอย่าง หากหลวงตาปิ่นท่านทำ ทำไมท่านใช้รูปหลวงพ่อสงวน ติดหลังพระ??? ทำไมไม่ใช้รูปท่านเอง จะไปว่า เพราะท่านศรัทธาหลวงพ่อสงวน เลยเอารูปหลวงพ่อสงวนมาติด คงฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นะครับ มันดูขัดๆกันยังไงพิกล และ ขัดกับพยานบุคคล รวมทั้งวัตถุพยานทั้งหลายอีกด้วย วันนี้เรามาเจาะลึกกันอีกซักทีนะครับ องค์แรกที่จะพาไปชม ก็พระที่เค้าบอกว่า พระแบบนี้หลวงตาปิ่นสร้างนี่แหละครับ

พระสมเด็จแหวกม่านฐานแซม หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi


พระองค์นี้ผมได้มาพร้อมกับ พระพิมพ์แบบนี้ ผมเห็นมาล๊อตใหญ่ ได้มาพร้อมกันประมาณ 20 องค์ครับ มีเนื้อดำ ประมาณสิบองค์ เนื้อขาวแบบนี้ประมาณสิบองค์ มาจากแหล่งเดียวกัน รู้สึกว่า เค้าจะเก็บมาจากบ้านเดียวกันครับ แต่ผมเองเก็บทั้งหมดไม่ไหว ก็เลยเก็บไว้แค่หกองค์ ที่เหลือ ก็ไปอยู่กับสมาชิกแถวๆนี้แหละ จำได้ว่า น้องจ๊อบก็ได้พระล๊อตนี้ไปหลายองค์ พี่ทิดหอมก็ด้วย และแน่นอนครับ เจ้าของเค้าบอกว่า เป็นพระหลวงพ่อสงวน ด้านหลังพระองค์นี้ติดรูปมาแต่เดิมครับ

Khunpannoi

มวลสารพระองค์นี้ ดูยังไงก็เป็นพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ก็ยังงงอยู่ว่า จะกลายเป็นพระหลวงตาปิ่นไปได้ยังไง มาดูมวลารขยายกันนะครับ ลักษณะเนื้อพระและมวลสารนั้นอยู่ในโซน พระเนื้อขาว ยุควัดทุ่งแฝก แต่จะมีแร่หินสะเก็ดดาวมากกว่าครับ

Khunpannoi

สังเกตุลักษณะมวลสารที่พระพักตร์องค์พระนะครับ ยังงั๊ย ยังไง ดูมุมไหน ก็เป็นเนื้อหาพระหลวงพ่อสงวน อยู่ดี

Khunpannoi


มวลสารข้าวทิพย์ชัดเจนแบบนี้ ก็มีแต่หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ เท่านั้น ถ้าพระแหวกม่านองค์นี้เป็นหลวงตาปิ่นสร้าง แน่นอนครับ พระคำข้าว พระเนื้อขาว พระแหวกม่านยุคต้น เนื้อดำ เนื้อน้ำตาล ก็คงเป็นหลวงตาปิ่นสร้างทั้งหมดอย่างที่เค้าว่ากระมัง แต่ถ้าเป็นแบบนั้น พระคำข้าวเนื้อละเอียดพิมพ์พระแหวกม่านหูบายศรี ยุควัดไผ่ของลุงสุด ก็เป็นหลวงตาปิ่นสร้างสิ ซึ่งมันขัดแย้งกับข้อมูล เพราะพระพิมพ์นั้นเราก็รู้กันดีว่าใครสร้าง ดังนั้น พระทั้งหมดที่มีมวลสารข้าวทิพย์แบบนี้จะเป็นหลวงตาปิ่นสร้างไปได้ไงล่ะครับ ไปดูพระองค์ต่อไปที่ได้มาพร้อมกันครับ

พระสมเด็จแหวกม่านฐานแซมเนื้อสีน้ำตาล หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

องค์นี้ก็ยังเป็นพิมพ์แบบพระองค์ข้างบน เพียงแต่เนื้อเป็นพระเนื้อสีน้ำตาลเข้ม

Khunpannoi

ด้านหลังติดรูปมาเดิมๆเช่นกัน มวลสารเป็นเหมือนพระแก่เนื้อขี้เถ้าไฟ แต่ยังเห็นเอกลักษณ์พระหลวงพ่อสงวนชัดเจน

Khunpannoi

ลองดูภาพขยายครับ พระองค์นี้มีเนื้อหาเช่นเดียวกับ พระเนื้อสีน้ำตาลยุควัดทุ่งแฝกทั่วไปนั่นเอง ที่ลูกศรชี้ ก็คือ เม็ดข้าวทิพย์ที่บดไม่ละเอียดนั่นเองครับ

Khunpannoi

ขยายให้เห็นเนื้อหาด้านหลังกันชัดๆ จะสังเกตุได้ว่า พระมีเอกลักษณ์เนื้อหาของพระหลวงพ่อสงวนครบถ้วน พระสองเนื้อ พิมพ์เดียวกัน ยืนยันชัดเจนครับ ว่าพระแบบนี้ จะเป็นใครสร้างไปไม่ได้นอกจาก หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ มาดูองค์สุดท้ายของวันนี้กัน ก็ยังเป็นพระที่มาเซ็ตเดียวกันครับ

พระสมเด็จแหวกม่านขาโต๊ะ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

พระองค์นี้ พิมพ์จะต่างออกไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นเนื้อหาเช่นเดียวกับองค์แรก ถ้าลองสังเกตุกันให้ดี จะเห็นว่า แท้จริงแล้วพระพิมพ์นี้ก็คือ พระพิมพ์เดียวกับ พระคำข้าว นั่นเองครับ

Khunpannoi

ด้านหลัง ติดรูปถ่ายมาแต่เดิมเช่นกัน จะสังเกตุได้ว่า ด้านล่างองค์พระ มีตะกรุดบุบบู้บี้ อยู่ด้วย และ ข้างตะกรุดนั้น เป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ แน่นอนครับ รอยแบบนี้ คงทราบกันดีว่า เป็นรอยเม็ดข้าวทิพย์ที่หลุดออกไปนั่นเอง

Khunpannoi

ภาพด้านบนนี้ คือ เม็ดข้าวทิพย์ที่ถ่ายจากด้านข้างของพระองค์นี้ เป็นหลักฐานบ่งบอกชัดเจนอีกอย่างหนึ่งครับว่า เป็นพระหลวงพ่อสงวน สร้างแน่นอน

Khunpannoi

เม็ดข้าวทิพย์ อีกเม็ดหนึ่ง กับ รอยที่ข้าวทิพย์เม็ดข้างๆหลุดออกไป แต่จุดตายสำคัญก็คือ ภาพนี้ครับ

Khunpannoi


ภาพอาจจะไม่ชัดนักนะครับ เพราะโฟกัสยากมาก เส้นเกศา ที่มีลักษณะใสเป็นเส้นเอ็นแบบนี้ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ช่วยตอกย้ำว่า พระองค์นี้ จะเป็นใครสร้างไปไม่ได้ นอกจากหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

เป็นไงบ้างครับ วันนี้ก็คงมีหลักฐานเพิ่มเติมกันว่า พระแบบนี้นั้น หลวงตาปิ่น หรือ หลวงพ่อสงวน กันแน่ที่สร้างขึ้นมา ผมเองเคยบอกเสมอนะครับว่า พระหลวงพ่อสงวน ไม่ว่าจะพิมพ์ไหน ก็ล้วนมีมวลสาร ที่สามารถตรวจสอบยืนยันกันได้ เพราะถึงแม้ไม่เหมือนกันเป๊ะๆ แต่มวลสาร และ หลักฐานอื่นๆก็จะบ่งบอกกันได้ แล้วก็จะโยงใยไปถึง พระพิมพ์อื่น สามารถเช็คย้อนไปย้อนมากันได้เสมอ หลักฐานชัดเจนแบบนี้ ท่านยังจะเชื่อ ท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ที่พยายามจะตีพระยุควัดทุ่งแฝกให้เป็นพระเก๊อีกเหรอครับ ลองใช้วิจารณญาณด้วยตัวท่านเองนะครับ ในคราวหน้า ถ้าไม่กล่าวถึง พระคำข้าว อันเป็นพระสำคัญอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมีพิมพ์เช่นเดียวกันนี้ เรื่องนี้ก็คงจบลงแบบไม่สมบูรณ์ครับ ซึ่งพระคำข้าวเอง ก็จะโยงไปหาพระอื่นๆอีกมากมาย คราวหน้า เรามาตรวจสอบพระยุคทุ่งแฝกกันอีกครั้งนะครับ วันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ

27 ตุลาคม 2552

การดูพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ตอนที่ 31 : พระพิมพ์สมเด็จวัดเกศไชโย หลังจาร

สวัสดีครับน้องๆที่รักทุกๆท่าน มาศึกษาเรื่องราวของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ กันต่อนะครับ แหม...ยังตื่นเต้นกับพระสมเด็จแหวกม่านใหญ่ หลังจารยันต์หลวงพ่อกวย ของน้องจ๊อบอยู่เลย หลายท่านคงทราบกันดีว่า พระพิมพ์หลักที่ศิษย์สายตรงหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของกันมากที่สุดก็คือ พระพิมพ์ปรกโพธิ์เก้าใบ กับ พระแหวกม่าน นี่แหละ แต่ราคาตอนนี้ ทะลุหกหลักไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นพระจารมืออย่างน้องจ๊อบ ซ้ำยังเป็นพระแหวกม่านเหมือนกันด้วย เรียกว่า ใช้แทนกันได้เลย แหม..น่าอิจฉาจริงๆ เก็บให้ดีๆแล้วนะครับน้องจ๊อบ

วันนี้ก็ย้อนยุคกลับมาว่ากันเรื่องพระหลวงพ่อสงวน ยุควัดทุ่งแฝกกันหน่อยนะครับ เห็นพวกท่านผู้ทรงเกียรติเค้าชอบว่ากันจังว่า ไม่ใช่พระที่หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ สร้าง บอกเป็นพระหลวงตาปิ่น วัดโพธิ์นฤมิตรบ้าง แหม..มีมาบอกอีกว่า เกิดทันเหรอ ก็เกิดไม่ทันหรอกครับ แต่ก็ว่ากันไปตามหลักฐานก็แล้วกัน ผมเองไม่มีพยานบุคคลมายืนยันในวันนี้ มีแต่วัตถุพยานครับ สำหรับพระองค์ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในวันนี้ ก็ไม่ใช่อื่นไกลครับ เป็นพิมพ์พระสมเด็จวัดเกศไชโย ซึ่งองค์นี้เป็นพระเนื้อแก่ผงน้ำมัน สีน้ำตาล ซึ่งคงเคยผ่านตากันมาบ้างในบทความตอนก่อนๆ วันนี้มาเจาะลึกกันดีกว่าครับ

พระพิมพ์สมเด็จวัดเกศไชโย หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ หลังจาร

Khunpannoi

พระองค์นี้ ลักษณะมวลสารเหมือนพระเนื้อน้ำตาลทั่วๆไป แต่ที่แตกต่างไปจากพระปกติคือ เป็นพระเนื้อแก่ผงน้ำมันครับ นี่เป็นพระพิมพ์นี้เนื้อแบบนี้เพียงองค์เดียวที่ผมเคยเห็นในวงการครับ

Photobucket


ด้านหลังนั้น นอกจากจะมีมวลสาร เส้นเกศา อันเป็นสิ่งยืนยันว่า พระนี้ผู้ใดกันแน่ที่สร้างแล้ว ยังมีรอยจารด้านหลังมาด้วย ลายมืออันสวยงาม และ สไตล์การเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อสงวน เป็นสิ่งตอกย้ำอีกอย่างหนึ่งว่า ใครกันที่สร้างพระองค์นี้ พระองค์นี้เป็นพระยุคทุ่งแฝกหลังจารองค์เดียวที่ผมเคยเห็นครับ ปกติแล้ว พระยุคทุ่งแฝกหลวงพ่อสงวน ท่านมักไม่ลงจารไว้

Khunpannoi


ลองสังเกตุมวลสารกันนะครับ พระองค์นี้บรรทัดแรกหลังจารคำว่า นะโมพุทธายะ หรือ พระเจ้าห้าพระองค์ บรรทัดที่สอง จารว่า อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา ซึ่งเป็นยันกระทู้เจ็ดแบก หรือ บรรทัดแรกของยันต์เกราะเพชร ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค นั่นเอง นี่อาจจะเป็นสิ่งบ่งบอกอย่างหนึ่ง ที่ผมเคยพูดว่า หลวงพ่อสงวน น่าจะเคยเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ปานมา บรรทัดที่สาม จารคำว่า มะ อะ อุ วันนี้ได้ฝึกอ่านอักษรขอมกันอีกครั้งนะครับ

ยันต์กระทู้เจ็ดแบกนั้น ว่ากันว่า มีฤทธิ์ทางด้านคงกระพันชาตรี เป็นคาถาสำหรับคนเกิดวันจันทร์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งพอจะกล่าวย่อๆได้ดังนี้ครับ

"สิทธิการิยะ ฝอยของพระอิติปิโส แปดด้านแปดทิศ มีฤทธิ์อเนกประการ ป้องกันสรรพภัย คุ้มครองได้ดังบัญหาร อุปเท่ห์ของอาจารย์ เหลือประมาณท่วมหลังช้าง แม้นจะยาตราไป ณ ทิศใดทุกถิ่นทาง จงสวดคาถาอ้าง ตามทิศาทางจะครรไล หรือไม่ก็เสกน้ำ คาถาร่ำอย่านอนใจ น้ำมนต์นั่นแลไซร้ ประพรมให้ทั่วกายา ทั้งสัตว์พาหนะ ก็ควรประให้จึงคลา กันเหตุเภทภัยยา ไม่มีมาและผ้องพาน คุ้มได้สารพัด ทั้งสรรพสัตว์แลชนพาล บ่อาจมารุกราน ให้รำคาญแลเคืองใจ ถึงหากถูกผีหลวง สิ้นทั้งปวงไม่เป็นไร ไปค้ามีกำไร คงจะไม่ขาดทุนเอย บทหนึ่งชื่อกระทู้เจ็ดแบก อาจารย์จำแนกไว้บูชา เสกข้าวกินทุกวัน อาจป้องกันเครื่องศาสตรา อนึ่งเล่าภาวนา แล้วหันหน้าสู่คชสาร อาจเข้าหักงวงคชา ด้วยพลาอันห้าวหาญ มีกำลังเหลือประมาณ ยิ่งช้างสารอันตกมัน พระฤๅษีทั้งเจ็ดองค์ ท่านดำรงอยู่ทิศนั้น เมื่อจักอภิวันท์ หันพักตร์นั้นทางทิศบูรพา "

จำกันได้มั้ยครับ ก็องค์นี้แหละที่เส้นเกศาท่านกลายเป็นพระธาตุ

Khunpannoi

Khunpannoi

เรามาดูเนื้อกันชัดๆนะครับ

Khunpannoi


พระองค์นี้ มีมวลสารสำคัญของพระเนื้อน้ำตาล ยุควัดทุ่งแฝกครบ โดยเฉพาะ ว่านสีน้ำตาล อันเป็นเอกลักษณ์ของพระเนื้อสีน้ำตาล อีกทั้งยังมี มวลสารพระกรุวัดบ้านกร่าง ทองเสก เป็นต้น จุดตายที่สำคัญที่สุดคงไม่พ้น เส้นเกศาของหลวงพ่อสงวน กับลายมือของท่านนั่นแหละครับ ซึ่งลักษณะการจารของหลวงพ่อสงวนนั้น ท่านคงจารตอนที่เนื้อพระยังไม่แห้งดีนัก จึงเกิดเป็นรอยลึก และ ตัวหนังสือสวยงามอย่างที่เห็น ซึ่งถ้าท่านจะจารตอนพระแห้งคงไม่สามารถกระทำได้ เพราะพระองค์นี้เนื้อแข็งมาก ดังนั้น ตัดประเด็นที่ว่า ใครอาจจะเอามาให้ท่านจารทีหลังไปได้เลย

Khunpannoi


ดูกันอีกมุมหนึ่งครับ สำหรับเนื้อพระทางด้านหน้า สังเกตุลักษณะของผงน้ำมันนะครับ จะทำให้พระเป็นเนื้อใสๆ มันๆ ซึ่ง พระเนื้อแบบนี้ ลักษณะอาจจะไปละม้ายคล้ายคลึงกับพระคำข้าวเนื้อละเอียด ถ้าเกิดมีใครมายัดเป็นพระเนื้อแบบนี้บอกว่าเป็นพระคำข้าวเนื้อละเอียดล่ะก็ ขอให้ท่านใช้วิจารณญาณให้รอบคอบนะครับ สิ่งที่แตกต่างกันอย่างหนึ่งที่จะพอช่วยให้ท่านแยกแยะได้ก็คือ พระคำข้าวเนื้อละเอียดนั้น จะมีมวลสารของเนื้อข้าวที่บดไม่ละเอียดให้เห็นชัดเจน จะมากบ้างน้อยบ้างก็ตามแต่ ก็จะสังเกตุเห็นได้ชัด แต่พระเนื้อแก่ผงน้ำมันจะไม่มีครับ

พระองค์นี้คงเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า หลวงพ่อสงวน ท่านเป็นผู้สร้างพระยุควัดทุ่งแฝกจริงแท้และแน่นอน ถ้าพระองค์นี้เก๊พระเนื้อน้ำตาลยุควัดทุ่งแฝกก็คงเก๊หมดครับ เนื้อน้ำตาลก็มวลสารเดียวกับพระเนื้อดำ โยงไปถึงพระเนื้อแดง เนื้อเขียว เนื้อขาว งั้นก็ไม่ใช่ท่านสร้างสิครับ เพราะพิมพ์ก็พิมพ์เดียวกัน โดยเฉพาะพระยุคปลายวัดทุ่งแฝกกับพระยุคต้นวัดไผ่พันมือ ก็ยังเป็นพระเนื้อน้ำตาลอยู่ งั้นพระวัดไผ่พันมือ ก็เก๊หมดเช่นกัน เห็นมั้ยครับว่า เนื้อพระนั้นยึดโยงกันอยู่ ต่อให้เราเกิดไม่ทันก็แล้วแต่ แต่หลักฐานข้อเท็จจริงมันบิดเบือนไม่ได้เหมือนคำพูดคนหรอกครับ ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ หลวงพ่อสงวน ท่านมักติดรูปถ่ายของท่านมาด้วยหลังพระทุ่งแฝกจำนวนไม่ใช่น้อย ถ้าคนอื่นสร้าง ทำไมถึงใช้รูปหลวงพ่อสงวนติดล่ะครับ ทำไมท่านไม่ใช้รูปของท่านติดเองล่ะ

ครับ วันนี้ก็คงพอทำให้ลูกศิษย์ที่ศรัทธาหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ได้หายไขว้เขวกันนะครับ ว่าแท้ที่จริงแล้ว พระวัดทุ่งแฝกเป็นพระใครสร้างกันแน่ ก็หลักฐานต่างๆมันชัดเจนปานนั้น คนท้องที่เค้าก็รู้จักกันดี จะไปบิดเบือนยังไงครับท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย วันนี้ก็พอหอมปากหอมคอนะครับ เอาไว้กลับมาพบกันใหม่ คราวหน้า มาดูกันอีกว่า พระที่เค้าบอกว่า พระหลวงตาปิ่นสร้างน่ะ แท้จริงใครกันแน่ที่สร้าง วันนี้หลับฝันดีครับ ลูกศิษย์หลวงพ่อสงวนทุกๆท่าน สวัสดีครับ

25 ตุลาคม 2552

หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ : พระสมเด็จแหวกม่านใหญ่ หลังยันต์หลวงพ่อกวย

สวัสดีกันอีกครั้งครับ ทุกๆท่าน เสาร์อาทิตย์ต้องรีบปั่นบทความหน่อย วันธรรมดาไม่ค่อยว่างครับ เดี๋ยวมิตรรักแฟนเพลงจะรอกันนาน วันนี้ขอคั่นรายการดูพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือกันหน่อยนะครับ เนื่องจากมีพระองค์สำคัญที่น้องจ๊อบ Missuja ( ทำไมไม่ใช้ Toyoja หรือ Hondaja ล่ะครับน้องจ๊อบ แหม..เค้าหมายถึง Miss_you ไม่ใช่รถมิซซู - -" แซวหน่อย แหะๆ ) ส่งมาให้ตรวจสอบให้ครับ ก็เลยต้องขออนุญาตเจ้าตัวมาตอบให้กลางสภากันหน่อย จะได้เป็นความรู้แก่คนอื่นๆด้วย

ก่อนอื่นขออนุญาตแก้ไขบทความเก่าๆหน่อยนะครับ ตามเดิมที่ผมบอกว่า พระหลวงพ่อสงวนในตอนก่อนหน้านี้ เป็นพระเนื้อแก่ผงน้ำมัน ผมลองมาดูอีกที น่าจะเป็นพระเนื้อแก่ปูนขาวมากกว่าครับ ก็เลยต้องแก้ไขความเข้าใจกันหน่อย จริงๆก็ไม่มีใครรู้ส่วนผสมที่แน่นอนของท่านหรอกครับ ว่าท่านใช้อะไรทำถึงได้ออกมาแบบนี้ แต่ก็น่าจะเป็นผงปูนขาว หรือ ปูนจากเปลือกหอยตามตำราทำพระสมเด็จฯ น่าจะใกล้เคียงลักษณะเนื้อพระที่สุด ก็เลยเอาเป็นว่า เราเรียกพระหลวงพ่อสงวน เนื้อแบบนี้กันใหม่ว่า พระเนื้อแก่ปูนขาว เพื่อให้เข้าใจตรงกันถึงลักษณะเนื้อพระแล้วกันนะครับ

มาว่ากันถึงพระน้องจ๊อบกันก่อนนะครับ พระองค์นี้ เจ้าของประกาศขายในเวบว่า เป็นพระหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามด้วยราคา 2500 บาท น้องจ๊อบต่อรองมาได้ 2000 บาท แหม...เดี๋ยวนี้ดูพระเซียนมากๆเลยนะครับน้องจ๊อบ ไปเก็บของดีราคาถูกมาได้ ต้องขอชมเลยครับ ขยันหาจริงๆ มาดูหน้าตาพระองค์นี้กันหน่อยครับ ว่าเป็นยังไง

พระสมเด็จแหวกม่านใหญ่ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

ด้านหลังมีลายยันต์นะโมพุทธายะ ที่จารในลักษณะพิเศษอันเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อกวย ชุตินธโร นั่นเองครับ ด้านบนเขียนไว้ด้วยว่า โฆสิตาราม

Khunpannoi


ต้องชมครับว่า น้องจ๊อบตาคมจริงๆ เห็นแว๊บเดียวก็รู้ว่า น่าจะเป็นพระแหวกม่านใหญ่ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ มากกว่า ทีแรกเห็นแต่ในรูปนั้น ผมเองก็คิดว่า น่าจะมีใครอุตริไปจารพระหลวงพ่อสงวน แล้วมายัดเป็นพระหลวงพ่อกวย กระมัง เพราะพระของท่านมีคนทำของปลอมออกมาจำนวนไม่น้อยเป็นที่รู้กันดี น้องจ๊อบก็เลยส่งพระมาให้ช่วยพิสูจน์ให้เพื่อจะได้แขวนด้วยความมั่นใจ ผมก็จะวินิจฉัยให้ตามนี้นะครับ อันดับแรกเรามาว่ากันที่เนื้อพระกันก่อนครับ ขยายดูกันหน่อยแล้วกัน

Photobucket


จากรูปเมื่อดูลักษณะพิมพ์พระและเนื้อพระแล้ว ฟันธงได้เลยครับว่า นี่คือ พระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ อย่างไม่ต้องสงสัย เนื้อพระนั้น เป็นลักษณะพระเนื้อแก่ปูนขาว จะสังเกตุได้ว่า เนื้อหานั้น เป็นโทนสีน้ำตาล อีกอย่างที่พิเศษกว่าองค์อื่นๆก็คือ พระองค์นี้ มีมวลสารของ พระขุนแผน วัดบ้านกร่าง กระจายอยู่อย่างมากมายทั่วองค์พระ ทั้งสามสิ่งนี้เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญที่บ่งบอกว่า พระองค์นี้สร้างในยุคต้นวัดไผ่พันมือ นั่นเองครับ เราไปดูยันต์ด้านหลังองค์พระกันครับ

Photobucket


ทีแรกที่เห็นจากรูปในเวบนั้น ผมเองคิดว่า รอยยันต์นี้คงเป็นใครซักคนพยายามจารเพื่อยัดเป็นพระหลวงพ่อกวย คิดในใจว่า แหม..อุตส่าห์เขียนว่า โฆสิตาราม ด้านบนพระซะด้วย กลัวเค้าจะไม่รู้ว่าเป็นพระหลวงพ่อกวยหรือไงหว่า พวกของเก๊นี่จริงๆเล้ย เจตนาจัง...แต่เมื่อได้พระองค์จริงมาส่องดู ผมก็ต้องขนลุกซู่ด้วยความตกใจครับ

เมื่อลองพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว พบว่า รอยจารหลังยันต์นั้น เกิดขึ้นทีหลังองค์พระ หรือ ที่เรียกกันว่า จารแห้งนั่นเองครับ รอยจารนั้น เป็นรอยจารเก่า มีฝุ่นผงปรากฏอยู่ด้านใน ลักษณะของการจารนั้น รอยลึกสม่ำเสมอ ในการเขียนอักขระแต่ละตัวนั้น เป็นการลากทีเดียวเสร็จ ลายเส้นล้วนตวัดด้วยความมั่นใจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่จารยันต์นี้ขึ้นมา ต้องเป็นผู้ที่ชำนาญในการเขียนยันต์แบบนี้เป็นอย่างมาก หากเป็นการดูของจริงไปลอกไป คงไม่เกิดเป็นรอยสม่ำเสมอ และ ลายยันต์ที่ดูสวยงาม และ ลากด้วยความมั่นใจแบบนี้อย่างแน่นอน

Khunpannoi


เมื่อพิจารณาดูเข้าไปในร่องของรอยจาร พบว่า มีฝุ่นที่สะสมอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่ง แสดงถึงการผ่านกาลเวลาที่ยาวนานของรอยจารนี้ โปรดสังเกตุความเก่าของเนื้อในรอยจาร เทียบกับเนื้อผิวองค์พระนะครับ จะเห็นว่า สีสันนั้นแทบไม่ต่างกันเลย ซึ่งแสดงว่า รอยจารนี้เกิดในเวลาห่างกันกับการสร้างพระองค์นี้ไม่นานนัก ลองเทียบกับ รอยเนื้อพระที่กระเทาะออกนะครับ จะเห็นว่า รอยใหม่นั้นเป็นสีขาวชัดเจน ลองสังเกตุเนื้อพระด้านบนดีๆจะเห็นจุดสีส้มเล็กๆกระจายอยู่ทั่วไป นั่นแหละครับ มวลสารเก่าของพระขุนแผน วัดบ้านกร่าง ในองค์นี้ เยอะมากจริงๆครับ

Khunpannoi

ขยายอีกมุมหนึ่ง สังเกตุฝุ่นในรอยจารนะครับ ฝุ่นแบบนี้ ทำขึ้นมาไม่ได้แน่นอน

Khunpannoi

อีกภาพหนึ่ง ลองเทียบรอยจารเก่า กับ รอยปูนที่กระเทาะใหม่ กันดูนะครับ

Khunpannoi


อีกภาพหนึ่งครับ รอยฝุ่นภายในนั้นเป็นสีแดง ถ้าใครสามารถทำฝุ่นสองสีได้เนียนขนาดนี้ ผมก็คงซูฮกล่ะครับ แหม..เล่นทีเดียวสองสีเลย คงไม่มีใครไปทำได้หรอกครับ สังเกตุตรงลูกศรสีแดงครับ นั่นแหละ มวลสารพระขุนแผน วัดบ้านกร่าง สังเกตุการตวัดหางของตัว "ยะ" ที่เหมือนหัวร.เรือในภาพนะครับ นี่เป็นเอกลัษณ์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า ผู้ที่เขียนยันต์นี้คือใคร เมื่อได้เห็นข้อมูลแล้ว เรามาลองวิเคราะห์กันดูครับ ผมเองมีความเห็นดังนี้

1.พระองค์นี้เป็นพระที่สภาพไม่ผ่านการใช้งานมา เจ้าของเดิมน่าจะได้มาแล้วเก็บวางไว้บนหิ้ง โดยคว่ำหน้าองค์พระลง สังเกตุได้จาก ด้านหน้าองค์พระไม่ปรากฏรอยฝุ่นจับอยู่เลย คงมีแต่ในรอยจารด้านหลัง และ พระองค์นี้ไม่ได้ผ่านการเลี่ยมมา ไม่งั้นก็จะไม่มีฝุ่นเกาะในรอยจารแบบนั้นครับ

2.พระองค์นี้ไม่ได้มีการทำรอยจารปลอมขึ้นมา เพื่อยัดเป็นพระหลวงพ่อกวย เนื่องจาก ถ้าเป็นผม คงไม่ยัดพระพิมพ์ที่ไม่ใช่ของท่านแบบนี้ สู้ไปหาพระพิมพ์ของท่านมาจารดีกว่าครับ และ ที่สำคัญ อายุรอยจารกับองค์พระฟ้องว่า เกิดมาพร้อมกันหรือห่างกันไม่นาน อายุพระก็ในช่วงยุคต้นวัดไผ่พันมือ ซึ่งสมัยนั้น หลวงพ่อกวยท่านก็ยังทรงขันธ์อยู่ เป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านเองก็ทำพระแจกโดยไม่คิดราคาค่างวด ก็คงไม่มีใครจำเป็นต้องมาจารเพื่อยัดวัดขายหรอก อีกทั้ง คนขายเองก็ไม่รู้ว่า นี่เป็นพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ เพราะถ้าขายเป็นพระหลวงพ่อสงวน คงทราบกันดีกว่า ได้ราคาสูงกว่านี้อีกหลายเท่าตัว เจ้าของเดิมนั้น คงรู้แต่ว่า นี่คือ พระหลวงพ่อกวย แล้วเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น และ ใครที่เป็นคนจารรอยยันต์นี้ เดี๋ยวมาวิเคราะห์กันต่อครับ

Khunpannoi


ลองเทียบลายมือดูนะครับ ที่เห็นในกระดาษนั่นคือ ลายมือ หลวงพ่อกวย ชุตินธโร นั่นเองครับ ( ขออนุญาติยืมภาพมาจากเวบ Watkositaram.com นะครับ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ) ลองสังเกตุการเขียน สระโอ ฆ.ระฆัง ส.เสือ ต.เต่า และสระอา กันให้ดีครับ จะเห็นว่า การเขียนนั้น เป็นไปในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะลักษณะด้านบนของสระอา และ ตัวต.เต่า ที่เป็นแบบสามเหลี่ยม ซึ่งจะสังเกตุเอกลักณ์ได้ชัดเจน ลักษรณะการลากส.เสือ และ ตวัดหัวตัว ต.เต่า ด้วยครับ แต่ต้องพิจารณากันนิดนึงว่าจะให้เหมือนกันเป๊ะคงไม่ใช่นะครับ ต้องไม่ลืมว่า การจารแห้งนั้น ลายมือจะไม่เหมือนเขียนบนกระดาษเป็นแน่ เพราะแรงต้านของเนื้อพระ ซึ่งเขียนได้ยากกว่า แต่ให้ดูลักษณะการเขียนตัวอักษรครับ ซึ่งลายมือคนเราถ้าเขียนบนวัสดุต่างกัน ถึงจะผิดเพี้ยนไปบ้างก็ตามที แต่ลักษณะการเขียนจะไม่เปลี่ยนครับ ดังนั้น หากใครมาบอกว่า ลายมือหลวงพ่อสงวน จารบนวัสดุต่างกัน ลายมือก็จะไม่เหมือนกัน ก็พึงระวังไว้ครับ จำไว้เสมอนะครับว่า ถึงลายมือจะเพี้ยนกันได้ แต่วิธีการเขียนของคนเราจะเขียนตามความเคยชิน มาเทียบตัวยันต์กันครับ

Khunpannoi


ลองเทียบลักษณะการเขียนอักขระให้ดีครับ ที่เห็นชัดก็คือ ตัว "ยะ" ที่เหมือน ผ.ผึ้งที่อยู่ในวงกลมนั่นแหละ รวมทั้งตัว "ธา" ตัว "โม" และ การตวัดหัวของตัว "พุ" ที่ดูเหมือนต.เต่าใส่สระอุ หากสงสัยว่า ตัวไหนคือตัวไหน ลองย้อนไปอ่านเรื่องการดูรอยจารพระหลวงพ่อสงวน กันครับ เอกลักษณ์แบบนี้บ่งบอกชัดเจนครับว่า ผู้ที่จารยันต์นี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก หลวงพ่อกวย ชุตินธโร นั่นเองครับ ผมตรวจสอบจากสายตรงของท่านแล้ว เค้ายืนยันว่า เป็นลายมือของหลวงพ่อกวยแน่นอน และ ลักษณะการจารยันต์ถูกต้องทั้งหมด คนที่จารยันต์เก๊จะไม่รู้จุดตายบางอย่างบนยันต์ครับ ขออนุญาตไม่เปิดเผยแล้วกัน แล้วหลวงพ่อกวย ท่านมาจารพระหลวงพ่อสงวน ได้อย่างไร เรามาวิเคราะห์กันต่อ

1.อาจจะมีลูกศิษย์ นำพระหลวงพ่อสงวน ไปให้ท่านจารให้ แต่ผมคิดว่า คงจะเป็นไปในแนวทางนี้ได้ค่อนข้างน้อย เพราะ โดยมารยาทครูบาอาจารย์ท่านแล้ว จะไม่ค่อยจารพระที่เป็นของเกจิท่านอื่นปลุกเสกให้ และ หากเป็นโดยสาเหตุนี้ ท่านคงไม่จารคำว่า โฆสิตาราม อันเป็นการบ่งบอกถึงการเป็นเจ้าของลงไปด้วย

2.แนวทางนี้น่าจะเป็นไปได้ที่สุด เป็นที่ทราบกันดีว่า หลวงพ่อสงวน ท่านมักได้รับนิมนต์จากหลวงพ่อแพให้ไปปลุกเสกพระอยู่บ่อยๆ หลวงพ่อกวยเองก็เช่นกันครับ ทั้งสององค์นี้จึงน่าจะได้เจอกันในงานปลุกเสกพระของหลวงพ่อแพอยู่ไม่งานใดก็งานหนึ่ง และ ปกติพระเกจิเองมักจะพกพระของตัวเองไปเข้าพิธีด้วย และ มักจะมีการขอหรือแลกพระกันอยู่เสมอหลังจากปลุกเสกเสร็จ หลวงพ่อกวย ท่านน่าจะได้รับพระหลวงพ่อสงวน กลับไปด้วย และ เนื่องจากท่านเองก็มีส่วนในการปลุกเสกด้วย ท่านจึงมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะจารยันต์ประจำตัวของท่านลงไปบนองค์พระ และ ระบุไว้ด้วยว่า โฆสิตาราม ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่า พระนี้อยู่กับท่านและเป็นของวัดโฆสิตาราม หลวงพ่อกวยเองนั้นเป็นที่ทราบกันดีครับว่า ท่านจะนำพระมาปลุกเสกซ้ำตามฤกษ์อยู่เสมอ และ เมื่อนำมาแจกให้ลูกศิษย์ เจ้าของเดิมที่รับมา จึงเข้าใจว่า เป็นพระของท่าน เมื่อลูกหลาน หรือ ใครก็ตามนำมาขายต่อ จึงเข้าใจว่าเป็นพระหลวงพ่อกวยตามไปด้วย แต่แน่นอนครับ เนื่องจากพระพิมพ์นี้ ไม่ใช่ของท่าน จึงอาจมีใครที่รู้จักพระท่านดีตีเก๊ เจ้าของจึงอาจไม่มั่นใจที่จะใช้ต่อ เขาจึงขายในราคาไม่สูงมากนัก

ก็คงต้องขอแสดงความยินดีกับน้องจ๊อบด้วยครับ ที่ได้พระทูอินวันในองค์เดียว แค่เป็นของหลวงพ่อสงวน หรือ หลวงพ่อกวยแค่องค์เดียวก็สุดยอดแล้ว นี่ได้ของรวมกันทั้งสององค์ ซึ่งเมื่อดูจากมวลสารและการสร้างต้องยกให้เป็นพระที่สุดยอดมากๆๆๆองค์หนึ่ง ได้มาในราคาแค่นี้ คงต้องบอกว่า หลวงพ่อท่านโปรดจริงๆครับ ไม่อยากคิดเลยครับว่า พระองค์นี้จะแรงแค่ไหน น้องจ๊อบช่วยมาเล่าให้แฟนๆฟังหน่อยแล้วกันนะครับ สำหรับพี่หอม มีอะไรจะเพิ่มเติมก็เชิญได้นะครับ วันนี้เขียนมาซะยาว ขออนุญาตจบตรงนี้แล้วกันนะครับ เอาไว้กลับมาพบกับเรื่องราวของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ กันใหม่ ฝันดีครับทุกๆท่าน สวัสดีครับ

24 ตุลาคม 2552

การดูพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ตอนที่ 30 : พระยุคกลางวัดไผ่พันมือ

สวัสดีครับ มิตรรักแฟนเพลงทุกๆท่าน ช่วงนี้ห่างหายไปเกือบสัปดาห์ ตามภาระกิจอีกเช่นเคย ก็กลับมาพบกับเรื่องราวของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ กันต่อนะครับ วันนี้ผมจะพาไปชมพระในยุควัดไผ่พันมือ ซึ่งคงจะอยู่ในช่วงกลางๆวัดไผ่ ซึ่งจะว่าไป ก็เป็นลักษณะเนื้อพระที่คุ้นเคยกันมากที่สุด จะเรียกเนื้อมาตรฐานก็กระไรอยู่ เพราะเนื้อพระหลวงพ่อสงวน ท่านเป็นงานแฮนด์เมด จะให้เหมือนกันเป๊ะๆ เป็นไปได้ยากมาก แต่เนื้อแบบนี้นั้น จะเป็นเนื้อที่ดูได้ง่ายกว่าแบบอื่นๆครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูพระองค์แรก ซึ่งพิมพ์นี้ ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งที่เจอกันได้บ่อยๆ

พระสมเด็จสามชั้น หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ยุคกลาง

Khunpannoi


คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับพระพิมพ์นี้กันพอสมควรนะครับ ซึ่งถ้าท่านอ่านบทความมาตั้งแต่ต้น ผมเคยลงพระองค์นี้ไปครั้งหนึ่งในบทความตอนแรกๆ ด้านหลังขององค์พระนั้น ปั้มตายางชื่อ หลวงพ่อสงวน และ วัดไผ่พันมือ มาด้วย

Photobucket


ลองขยายดูเนื้อกัน สังเกตุลักษณะของหมึกตาปั้มนะครับ ต้องเก่าตามอายุ หากเห็นสีหมึกยังสดๆนี่ ให้ห่างๆไว้เลยครับ สังเกตุมวลสารกันนะครับ ซึ่งจะว่าไปแล้ว พระองค์นี้ ยังคงสังเกตุว่า เนื้อหายังได้รับอิทธิพลจากพระเนื้อแก่ปูนขาว เพียงแต่ปริมาณลดน้อยลงไป

Khunpannoi

เนื้อแบบนี้ น่าจะคาบเกี่ยวอยู่ในช่วงยุคต้นและยุคกลางวัดไผ่พันมือครับ ลองเปรียบเทียบกับอีกสามองค์นะซึ่งพบว่าจะยังคงเป็นพระเนื้อลักษณะแก่ปูนขาวมากกว่านะครับ

Khunpannoi

ด้านหลัง ปั้มหมึกคนละสี แต่อีกสามองค์ที่เป็นหมึกสีแดงนั้น จะดูเก่ากว่ามาก ซึ่งก็เป็นหลักฐานอีกอันหนึ่งที่พอจะบ่งบอกได้ว่า พระเนื้อแบบไหนสร้างก่อนแบบไหนสร้างทีหลัง

Khunpannoi

พระสมเด็จสามชั้นหูบายศรี ทาทอง หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi


อีกองค์หนึ่งของพระยุคกลางวัดไผ่พันมือครับ องค์นี้ลองสังเกตุเลี่ยมกันดูนะครับ เลี่ยมพระแบบนี้ จะเป็นพระที่หลวงพ่อสงวน ท่านเลี่ยมมาให้เดิมๆจากวัดครับ ใช้เป็นจุดสังเกตุพระและลูกอมแท้ได้อย่างหนึ่ง แต่อย่าไปยึดมากกว่า เนื้อพระแล้วกันนะครับ ด้านหลัง เนื้อแบบนี้ เป็นเนื้อที่ดูง่ายสบายตาครับ อีกจุดหนึ่งที่ควรสังเกตุ ก็คือ ลักษณะสีทองที่ทาองค์พระ จำกันไว้ให้แม่นๆแล้วกัน สีทองแบบนี้จะเป็นสีที่พบได้บ่อยที่สุดครับ

Khunpannoi

พระสมเด็จสามชั้น หูบายศรี ทาทอง หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi

องค์นี้ดูเผินๆ ก็คล้ายๆกับองค์แรก สีทองก็เบอร์เดียวกันครับ แต่พอพลิกดูด้านหลัง พบว่า เนื้อหาจะไปคนละแบบกันเลย องค์นี้ติดรูปหลวงพ่อสงวน มาแบบเดิมๆครับ

Khunpannoi

พระสมเด็จสามชั้น หูบายศรี หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ขนาดพระคะแนนกลาง

Khunpannoi

สององค์นี้ถือเป็นเนื้อครู ของพระยุควัดไผพนมือได้ทั้งคู่ครับ ซึ่งพระยุควัดไผ่พันมือ จำนวนไม่น้อยที่เนื้อลักษณะเดียวกันนี้

Khunpannoi

ขยายกันดู จำกันให้แม่นๆนะครับ ผมย้ำเสมอนะครับว่า การดูพระหลวงพ่อสงวน ให้ดูที่เนื้อพระเป็นลำดับแรก อย่าไปดูที่รูปถ่ายที่ติดไว้หลังพระเป็นลำดับแรกนะครับ ไม่งั้นท่านอาจจะโดนได้

Khunpannoi

พระสมเด็จสามชั้นหูบายศรี หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ หลากพิมพ์

Khunpannoi

เป็นที่ทราบกันดีครับว่า หลวงพ่อสงวน ท่านชอบสร้างพระที่ลักษระเป็นหูบายศรี เช่นเดียวกับพระสมเด็จวัดเกศไชโย ดังนั้น จึงพบพระหูบายศรีเป็นจำนวนมาก แต่ก็หลากหลายพิมพ์เช่นกัน

Photobucket

พระสมเด็จสามชั้น พิมพ์วัดระฆัง หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

Khunpannoi


ปิดท้าย กันด้วย พระสมเด็จวัดระฆังองค์นี้นะครับ ดูเผินๆแล้วอาจจะแยกแยะได้ยากครับว่า นี่คือ พระยุคต้นวัดไผ่พันมือ หรือ พระยุคทุ่งแฝกกันแน่ ผมเคยบอกไปแล้วว่า บางครั้งพระในช่วงคาบเกี่ยวสองยุคนี้ บางครั้งก็แยกจากกันได้ยากมาก ลองสังเกตุเนื้อหาที่พระอุระ และ พระพักตร์ขององค์พระนะครับ จะทำให้ท่านจำลักษณะของพระหลวงพ่อสงวน ทั้งสองยุคได้ง่าย ลองดูด้านหลังกันครับ ลองทายกันเล่นๆครับว่านี่คือพระยุคไหนกันแน่ ไม่มีรางวัลหรอกครับ แต่เพื่อฝึกทักษะกัน

Photobucket

ไม่มีรูปถ่ายหลวงพ่อสงวนติดมาด้วยครับ ดังนั้นใครกะจะเดาจากรูปถ่ายก็เสียใจด้วย ดูเนื้อหากันครับ จำเนื้อหาองค์นี้กันไว้ให้แม่นๆครับ ถือเป็นเนื้อครูได้องค์หนึ่ง แล้วท่านจะดูพระหลวงพ่อสงวนเก่งขึ้น

Khunpannoi


เป็นยังไงกันบ้างครับ ถ้ายังงงๆกันอยู่ ผมจะเฉลยให้ฟังก็แล้วกันครับ บางท่านอาจจะคิดว่า พระองค์นี้เป็นพระยุคต้นวัดไผ่พันมือ แต่จริงๆ แล้วพระองค์นี้เป็น พระเนื้อเขียว วัดทุ่งแฝกครับ สังเกตุจากเนื้อที่แข็งเหมือนปูนซีเมนต์ และ มวลสารที่ค่อนข้างเข้มข้นกว่า การดูจากรูปถ่าย อาจทำให้สับสน เพราะดูเหมือนกันมาก ที่ผมให้ดูพระองค์นี้เพราะอะไร?? ก็เพื่อตอกย้ำให้ท่านเห็นความเกี่ยวพันระหว่าง เนื้อพระยุควัดไผ่พันมือ และ วัดทุ่งแฝก กันอีกครั้ง หากไปได้ยินมาว่า พระยุคทุ่งแฝก ไม่ใช่หลวงพ่อสงวนสร้างบ้างหล่ะ หาว่า หลวงตาปิ่นสร้างบ้างล่ะ ก็ดูจากข้อเท็จจริงแล้วกันนะครับ ข้อเท็จจริงมันบิดไม่ได้เหมือนคำพูดคนหรอก หากท่านได้อ่านบทความของผมมาตั้งแต่ต้น ที่ผมได้ไล่เลียงเรื่องพัฒนาการของเนื้อพระ จะไล่ย้อนขึ้นมา หรือ ย้อนลงไปก็ดี ท่านคงจะเป็นความสัมพันธ์ของลักษณะมวลสารนี้อยู่ พระยุควัดทุ่งแฝกนั้นคนในพื้นที่เขาก็รู้กันดีครับว่า เป็นพระที่หลวงพ่อสงวนท่านสร้าง ดังนั้น ได้ยินมาก็อย่าไปหวั่นไหวกันล่ะ ทั้งพยานหลักฐานและบุคคลยืนยันชัด จะเป็นอื่นไปไม่ได้หรอกครับ วันนี้ว่ากันซะยาว ไว้พบกันใหม่ตอนหน้าก็แล้วกันนะครับทุกๆท่าน สวัสดีครับ

เกี่ยวกับฉัน