สวัสดีกันอีกครั้งครับ ทุกๆท่าน เสาร์อาทิตย์ต้องรีบปั่นบทความหน่อย วันธรรมดาไม่ค่อยว่างครับ เดี๋ยวมิตรรักแฟนเพลงจะรอกันนาน วันนี้ขอคั่นรายการดูพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือกันหน่อยนะครับ เนื่องจากมีพระองค์สำคัญที่น้องจ๊อบ Missuja ( ทำไมไม่ใช้ Toyoja หรือ Hondaja ล่ะครับน้องจ๊อบ แหม..เค้าหมายถึง Miss_you ไม่ใช่รถมิซซู - -" แซวหน่อย แหะๆ ) ส่งมาให้ตรวจสอบให้ครับ ก็เลยต้องขออนุญาตเจ้าตัวมาตอบให้กลางสภากันหน่อย จะได้เป็นความรู้แก่คนอื่นๆด้วย
ก่อนอื่นขออนุญาตแก้ไขบทความเก่าๆหน่อยนะครับ ตามเดิมที่ผมบอกว่า พระหลวงพ่อสงวนในตอนก่อนหน้านี้ เป็นพระเนื้อแก่ผงน้ำมัน ผมลองมาดูอีกที น่าจะเป็นพระเนื้อแก่ปูนขาวมากกว่าครับ ก็เลยต้องแก้ไขความเข้าใจกันหน่อย จริงๆก็ไม่มีใครรู้ส่วนผสมที่แน่นอนของท่านหรอกครับ ว่าท่านใช้อะไรทำถึงได้ออกมาแบบนี้ แต่ก็น่าจะเป็นผงปูนขาว หรือ ปูนจากเปลือกหอยตามตำราทำพระสมเด็จฯ น่าจะใกล้เคียงลักษณะเนื้อพระที่สุด ก็เลยเอาเป็นว่า เราเรียกพระหลวงพ่อสงวน เนื้อแบบนี้กันใหม่ว่า พระเนื้อแก่ปูนขาว เพื่อให้เข้าใจตรงกันถึงลักษณะเนื้อพระแล้วกันนะครับ
มาว่ากันถึงพระน้องจ๊อบกันก่อนนะครับ พระองค์นี้ เจ้าของประกาศขายในเวบว่า เป็นพระหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามด้วยราคา 2500 บาท น้องจ๊อบต่อรองมาได้ 2000 บาท แหม...เดี๋ยวนี้ดูพระเซียนมากๆเลยนะครับน้องจ๊อบ ไปเก็บของดีราคาถูกมาได้ ต้องขอชมเลยครับ ขยันหาจริงๆ มาดูหน้าตาพระองค์นี้กันหน่อยครับ ว่าเป็นยังไง
พระสมเด็จแหวกม่านใหญ่ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

ด้านหลังมีลายยันต์นะโมพุทธายะ ที่จารในลักษณะพิเศษอันเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อกวย ชุตินธโร นั่นเองครับ ด้านบนเขียนไว้ด้วยว่า โฆสิตาราม

ต้องชมครับว่า น้องจ๊อบตาคมจริงๆ เห็นแว๊บเดียวก็รู้ว่า น่าจะเป็นพระแหวกม่านใหญ่ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ มากกว่า ทีแรกเห็นแต่ในรูปนั้น ผมเองก็คิดว่า น่าจะมีใครอุตริไปจารพระหลวงพ่อสงวน แล้วมายัดเป็นพระหลวงพ่อกวย กระมัง เพราะพระของท่านมีคนทำของปลอมออกมาจำนวนไม่น้อยเป็นที่รู้กันดี น้องจ๊อบก็เลยส่งพระมาให้ช่วยพิสูจน์ให้เพื่อจะได้แขวนด้วยความมั่นใจ ผมก็จะวินิจฉัยให้ตามนี้นะครับ อันดับแรกเรามาว่ากันที่เนื้อพระกันก่อนครับ ขยายดูกันหน่อยแล้วกัน

จากรูปเมื่อดูลักษณะพิมพ์พระและเนื้อพระแล้ว ฟันธงได้เลยครับว่า นี่คือ พระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ อย่างไม่ต้องสงสัย เนื้อพระนั้น เป็นลักษณะพระเนื้อแก่ปูนขาว จะสังเกตุได้ว่า เนื้อหานั้น เป็นโทนสีน้ำตาล อีกอย่างที่พิเศษกว่าองค์อื่นๆก็คือ พระองค์นี้ มีมวลสารของ พระขุนแผน วัดบ้านกร่าง กระจายอยู่อย่างมากมายทั่วองค์พระ ทั้งสามสิ่งนี้เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญที่บ่งบอกว่า พระองค์นี้สร้างในยุคต้นวัดไผ่พันมือ นั่นเองครับ เราไปดูยันต์ด้านหลังองค์พระกันครับ

ทีแรกที่เห็นจากรูปในเวบนั้น ผมเองคิดว่า รอยยันต์นี้คงเป็นใครซักคนพยายามจารเพื่อยัดเป็นพระหลวงพ่อกวย คิดในใจว่า แหม..อุตส่าห์เขียนว่า โฆสิตาราม ด้านบนพระซะด้วย กลัวเค้าจะไม่รู้ว่าเป็นพระหลวงพ่อกวยหรือไงหว่า พวกของเก๊นี่จริงๆเล้ย เจตนาจัง...แต่เมื่อได้พระองค์จริงมาส่องดู ผมก็ต้องขนลุกซู่ด้วยความตกใจครับ
เมื่อลองพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว พบว่า รอยจารหลังยันต์นั้น เกิดขึ้นทีหลังองค์พระ หรือ ที่เรียกกันว่า จารแห้งนั่นเองครับ รอยจารนั้น เป็นรอยจารเก่า มีฝุ่นผงปรากฏอยู่ด้านใน ลักษณะของการจารนั้น รอยลึกสม่ำเสมอ ในการเขียนอักขระแต่ละตัวนั้น เป็นการลากทีเดียวเสร็จ ลายเส้นล้วนตวัดด้วยความมั่นใจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่จารยันต์นี้ขึ้นมา ต้องเป็นผู้ที่ชำนาญในการเขียนยันต์แบบนี้เป็นอย่างมาก หากเป็นการดูของจริงไปลอกไป คงไม่เกิดเป็นรอยสม่ำเสมอ และ ลายยันต์ที่ดูสวยงาม และ ลากด้วยความมั่นใจแบบนี้อย่างแน่นอน

เมื่อพิจารณาดูเข้าไปในร่องของรอยจาร พบว่า มีฝุ่นที่สะสมอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่ง แสดงถึงการผ่านกาลเวลาที่ยาวนานของรอยจารนี้ โปรดสังเกตุความเก่าของเนื้อในรอยจาร เทียบกับเนื้อผิวองค์พระนะครับ จะเห็นว่า สีสันนั้นแทบไม่ต่างกันเลย ซึ่งแสดงว่า รอยจารนี้เกิดในเวลาห่างกันกับการสร้างพระองค์นี้ไม่นานนัก ลองเทียบกับ รอยเนื้อพระที่กระเทาะออกนะครับ จะเห็นว่า รอยใหม่นั้นเป็นสีขาวชัดเจน ลองสังเกตุเนื้อพระด้านบนดีๆจะเห็นจุดสีส้มเล็กๆกระจายอยู่ทั่วไป นั่นแหละครับ มวลสารเก่าของพระขุนแผน วัดบ้านกร่าง ในองค์นี้ เยอะมากจริงๆครับ

ขยายอีกมุมหนึ่ง สังเกตุฝุ่นในรอยจารนะครับ ฝุ่นแบบนี้ ทำขึ้นมาไม่ได้แน่นอน

อีกภาพหนึ่ง ลองเทียบรอยจารเก่า กับ รอยปูนที่กระเทาะใหม่ กันดูนะครับ

อีกภาพหนึ่งครับ รอยฝุ่นภายในนั้นเป็นสีแดง ถ้าใครสามารถทำฝุ่นสองสีได้เนียนขนาดนี้ ผมก็คงซูฮกล่ะครับ แหม..เล่นทีเดียวสองสีเลย คงไม่มีใครไปทำได้หรอกครับ สังเกตุตรงลูกศรสีแดงครับ นั่นแหละ มวลสารพระขุนแผน วัดบ้านกร่าง สังเกตุการตวัดหางของตัว "ยะ" ที่เหมือนหัวร.เรือในภาพนะครับ นี่เป็นเอกลัษณ์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า ผู้ที่เขียนยันต์นี้คือใคร เมื่อได้เห็นข้อมูลแล้ว เรามาลองวิเคราะห์กันดูครับ ผมเองมีความเห็นดังนี้
1.พระองค์นี้เป็นพระที่สภาพไม่ผ่านการใช้งานมา เจ้าของเดิมน่าจะได้มาแล้วเก็บวางไว้บนหิ้ง โดยคว่ำหน้าองค์พระลง สังเกตุได้จาก ด้านหน้าองค์พระไม่ปรากฏรอยฝุ่นจับอยู่เลย คงมีแต่ในรอยจารด้านหลัง และ พระองค์นี้ไม่ได้ผ่านการเลี่ยมมา ไม่งั้นก็จะไม่มีฝุ่นเกาะในรอยจารแบบนั้นครับ
2.พระองค์นี้ไม่ได้มีการทำรอยจารปลอมขึ้นมา เพื่อยัดเป็นพระหลวงพ่อกวย เนื่องจาก ถ้าเป็นผม คงไม่ยัดพระพิมพ์ที่ไม่ใช่ของท่านแบบนี้ สู้ไปหาพระพิมพ์ของท่านมาจารดีกว่าครับ และ ที่สำคัญ อายุรอยจารกับองค์พระฟ้องว่า เกิดมาพร้อมกันหรือห่างกันไม่นาน อายุพระก็ในช่วงยุคต้นวัดไผ่พันมือ ซึ่งสมัยนั้น หลวงพ่อกวยท่านก็ยังทรงขันธ์อยู่ เป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านเองก็ทำพระแจกโดยไม่คิดราคาค่างวด ก็คงไม่มีใครจำเป็นต้องมาจารเพื่อยัดวัดขายหรอก อีกทั้ง คนขายเองก็ไม่รู้ว่า นี่เป็นพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ เพราะถ้าขายเป็นพระหลวงพ่อสงวน คงทราบกันดีกว่า ได้ราคาสูงกว่านี้อีกหลายเท่าตัว เจ้าของเดิมนั้น คงรู้แต่ว่า นี่คือ พระหลวงพ่อกวย แล้วเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น และ ใครที่เป็นคนจารรอยยันต์นี้ เดี๋ยวมาวิเคราะห์กันต่อครับ

ลองเทียบลายมือดูนะครับ ที่เห็นในกระดาษนั่นคือ ลายมือ หลวงพ่อกวย ชุตินธโร นั่นเองครับ ( ขออนุญาติยืมภาพมาจากเวบ Watkositaram.com นะครับ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ) ลองสังเกตุการเขียน สระโอ ฆ.ระฆัง ส.เสือ ต.เต่า และสระอา กันให้ดีครับ จะเห็นว่า การเขียนนั้น เป็นไปในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะลักษณะด้านบนของสระอา และ ตัวต.เต่า ที่เป็นแบบสามเหลี่ยม ซึ่งจะสังเกตุเอกลักณ์ได้ชัดเจน ลักษรณะการลากส.เสือ และ ตวัดหัวตัว ต.เต่า ด้วยครับ แต่ต้องพิจารณากันนิดนึงว่าจะให้เหมือนกันเป๊ะคงไม่ใช่นะครับ ต้องไม่ลืมว่า การจารแห้งนั้น ลายมือจะไม่เหมือนเขียนบนกระดาษเป็นแน่ เพราะแรงต้านของเนื้อพระ ซึ่งเขียนได้ยากกว่า แต่ให้ดูลักษณะการเขียนตัวอักษรครับ ซึ่งลายมือคนเราถ้าเขียนบนวัสดุต่างกัน ถึงจะผิดเพี้ยนไปบ้างก็ตามที แต่ลักษณะการเขียนจะไม่เปลี่ยนครับ ดังนั้น หากใครมาบอกว่า ลายมือหลวงพ่อสงวน จารบนวัสดุต่างกัน ลายมือก็จะไม่เหมือนกัน ก็พึงระวังไว้ครับ จำไว้เสมอนะครับว่า ถึงลายมือจะเพี้ยนกันได้ แต่วิธีการเขียนของคนเราจะเขียนตามความเคยชิน มาเทียบตัวยันต์กันครับ

ลองเทียบลักษณะการเขียนอักขระให้ดีครับ ที่เห็นชัดก็คือ ตัว "ยะ" ที่เหมือน ผ.ผึ้งที่อยู่ในวงกลมนั่นแหละ รวมทั้งตัว "ธา" ตัว "โม" และ การตวัดหัวของตัว "พุ" ที่ดูเหมือนต.เต่าใส่สระอุ หากสงสัยว่า ตัวไหนคือตัวไหน ลองย้อนไปอ่านเรื่องการดูรอยจารพระหลวงพ่อสงวน กันครับ เอกลักษณ์แบบนี้บ่งบอกชัดเจนครับว่า ผู้ที่จารยันต์นี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก หลวงพ่อกวย ชุตินธโร นั่นเองครับ ผมตรวจสอบจากสายตรงของท่านแล้ว เค้ายืนยันว่า เป็นลายมือของหลวงพ่อกวยแน่นอน และ ลักษณะการจารยันต์ถูกต้องทั้งหมด คนที่จารยันต์เก๊จะไม่รู้จุดตายบางอย่างบนยันต์ครับ ขออนุญาตไม่เปิดเผยแล้วกัน แล้วหลวงพ่อกวย ท่านมาจารพระหลวงพ่อสงวน ได้อย่างไร เรามาวิเคราะห์กันต่อ
1.อาจจะมีลูกศิษย์ นำพระหลวงพ่อสงวน ไปให้ท่านจารให้ แต่ผมคิดว่า คงจะเป็นไปในแนวทางนี้ได้ค่อนข้างน้อย เพราะ โดยมารยาทครูบาอาจารย์ท่านแล้ว จะไม่ค่อยจารพระที่เป็นของเกจิท่านอื่นปลุกเสกให้ และ หากเป็นโดยสาเหตุนี้ ท่านคงไม่จารคำว่า โฆสิตาราม อันเป็นการบ่งบอกถึงการเป็นเจ้าของลงไปด้วย
2.แนวทางนี้น่าจะเป็นไปได้ที่สุด เป็นที่ทราบกันดีว่า หลวงพ่อสงวน ท่านมักได้รับนิมนต์จากหลวงพ่อแพให้ไปปลุกเสกพระอยู่บ่อยๆ หลวงพ่อกวยเองก็เช่นกันครับ ทั้งสององค์นี้จึงน่าจะได้เจอกันในงานปลุกเสกพระของหลวงพ่อแพอยู่ไม่งานใดก็งานหนึ่ง และ ปกติพระเกจิเองมักจะพกพระของตัวเองไปเข้าพิธีด้วย และ มักจะมีการขอหรือแลกพระกันอยู่เสมอหลังจากปลุกเสกเสร็จ หลวงพ่อกวย ท่านน่าจะได้รับพระหลวงพ่อสงวน กลับไปด้วย และ เนื่องจากท่านเองก็มีส่วนในการปลุกเสกด้วย ท่านจึงมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะจารยันต์ประจำตัวของท่านลงไปบนองค์พระ และ ระบุไว้ด้วยว่า โฆสิตาราม ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่า พระนี้อยู่กับท่านและเป็นของวัดโฆสิตาราม หลวงพ่อกวยเองนั้นเป็นที่ทราบกันดีครับว่า ท่านจะนำพระมาปลุกเสกซ้ำตามฤกษ์อยู่เสมอ และ เมื่อนำมาแจกให้ลูกศิษย์ เจ้าของเดิมที่รับมา จึงเข้าใจว่า เป็นพระของท่าน เมื่อลูกหลาน หรือ ใครก็ตามนำมาขายต่อ จึงเข้าใจว่าเป็นพระหลวงพ่อกวยตามไปด้วย แต่แน่นอนครับ เนื่องจากพระพิมพ์นี้ ไม่ใช่ของท่าน จึงอาจมีใครที่รู้จักพระท่านดีตีเก๊ เจ้าของจึงอาจไม่มั่นใจที่จะใช้ต่อ เขาจึงขายในราคาไม่สูงมากนัก
ก็คงต้องขอแสดงความยินดีกับน้องจ๊อบด้วยครับ ที่ได้พระทูอินวันในองค์เดียว แค่เป็นของหลวงพ่อสงวน หรือ หลวงพ่อกวยแค่องค์เดียวก็สุดยอดแล้ว นี่ได้ของรวมกันทั้งสององค์ ซึ่งเมื่อดูจากมวลสารและการสร้างต้องยกให้เป็นพระที่สุดยอดมากๆๆๆองค์หนึ่ง ได้มาในราคาแค่นี้ คงต้องบอกว่า หลวงพ่อท่านโปรดจริงๆครับ ไม่อยากคิดเลยครับว่า พระองค์นี้จะแรงแค่ไหน น้องจ๊อบช่วยมาเล่าให้แฟนๆฟังหน่อยแล้วกันนะครับ สำหรับพี่หอม มีอะไรจะเพิ่มเติมก็เชิญได้นะครับ วันนี้เขียนมาซะยาว ขออนุญาตจบตรงนี้แล้วกันนะครับ เอาไว้กลับมาพบกับเรื่องราวของ หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ กันใหม่ ฝันดีครับทุกๆท่าน สวัสดีครับ