จากที่กล่าวมา ก็คงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมพี่หนุ่มเมืองแกลง แกถึงใช้ พระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ใส่ตลับแทนพระสมเด็จวัดระฆัง เห็นแต่ละผงที่ท่านใช้แล้ว ครบเครื่องจริงๆ มิน่าเล่า หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ท่านถึงได้ยกย่องหลวงพ่อสงวนนักหนาว่า "หลวงพ่อสงวนท่านทำผงเก่ง" โปรดสังเกตุนะครับ หลวงพ่อแพท่านบอกว่า หลวงพ่อสงวนท่านทำผงเก่ง ไม่ใช่ "หลวงพ่อสงวน(แค่)ทำผงอิทธิเจเก่ง" และ ด้วยเหตุนี้กระมัง ถึงทำให้ไม่มีใครสามารถสืบทอดวิชาของท่านได้ ก็มันยากจริงๆนินา เอาไว้รออ่านแล้วกันนะครับ แล้วจะอึ้งเหมือนผม
มาต่อเรื่องพระคำข้าว หลวงพ่อสงวนกันต่อดีกว่า เดี๋ยวปิดตอนไม่ได้ ตั้งแต่ได้พระคำข้าวพิมพ์สมเด็จแหวกม่านยุคต้นมา ซึ่งเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ที่สำคัญ ทำให้สามารถเชื่อมโยงเนื้อพระและพิมพ์ที่สำคัญได้ว่า แท้จริงแล้วยังมีพระที่มีมวลสารของพระคำข้าวเป็นส่วนประกอบอยู่อย่างมากมาย ซึ่งพระเนื้อที่ว่า ก็มิใช่พระแปลกตาที่ไหน ก็คือ พระที่หลายๆคนติว่า ไม่สวย และมองข้ามไปหมด เรียกว่า ไม่ค่อยเก็บกันล่ะ มาดูกันครับว่า พระคำข้าว รุ่น Transformer นั้นมีพิมพ์ไหนกันบ้าง องค์แรกก็คือ พระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น เนื้อสีขาวนั่นเอง

ลองเปรียบเทียบกันดูดีๆนะครับ จะเห็นว่า พระทั้งสององค์นั้น มีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่มาก แม้จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว โดยเฉพาะพิมพ์และเนื้อ พระองค์ซ้ายนั้น เนื้อยังมีให้เห็นชัดเจนว่า ประกอบด้วยเนื้อพระคำข้าว original ซะส่วนเป็นส่วนใหญ่ ( ชักภาษาปะกิดเยอะล่ะ ) ส่วนองค์ซ้ายนั้น แม้จะแตกต่างออกไป แต่ท่านคงจะสังเกตุลักษณะบางอย่าง ที่ผมเคยได้บอกไปตอนก่อน ว่า พระสมเด็จยุคต้นเนื้อขาวโดยทั่วไปนั้น เนื้อพระค่อนข้างจะยับย่น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญอันหนึ่งของพระคำข้าว ซึ่งค่อนข้างหนืด ทำให้มวลสารไม่กระจายตัวได้ดีเช่นพระเนื้อผงอื่นๆ

ด้านหลังนั้น มวลสารแตกต่างไปอย่างชัดเจน แต่ก็ยังเห็นความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง

จากการสังเกตุ พบว่า เนื้อพระสมเด็จแหวกม่านยุคต้น เนื้อสีขาวนั้น มีเนื้อเหมือนเจลใสๆ กระจายอยู่ทั่วๆไป โดยเฉพาะ เมื่อส่องดูด้านข้างองค์พระจะเห็นชัด เมื่อลองขยายดู ก็พบหลักฐานสำคัญว่า แท้จริงแล้ว เนื้อเจลใสๆ นั้นก็คือ เนื้อข้าวทิพย์บด ลักษณะเดียวกับ พระคำข้าวเนื้อละเอียดนั้นเอง

ลองสังเกตุภาพด้านบนดูดีๆนะครับ ที่จะยังเห็น ข้าวทิพย์สีเหลือง ที่ยังบดไม่ละเอียด เชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกันกับส่วนที่บทละเอียด และ กระจายหายเข้าไปผสมเป็นเนื้อเดียวกันกับองค์พระ ถ้าท่านมีพระพิมพ์นี้ ลองหยิบมาส่องดูนะครับ นี่ล่ะ ของดีที่หลายคนมองข้ามกันนักหนา ( หากไม่ดีจริง หลวงพ่อสงวน ท่านคงไม่ทำเป็นพระพิมพ์นี้หรอก จริงมะ บอกแล้วว่า พระพิมพ์แหวกม่านยุคต้นนั้น แต่ละเนื้อนี่สุดๆกันทั้งนั้น ) ใครที่เคยปฏิเสธพระไม่สวยแบบนี้ไป ก็ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วยแล้วกันนะครับ มาดูองค์ต่อไปดีกว่า องค์นี้ก็ยังเป็นพระเนื้อขาวยุควัดทุ่งแฝกอีกเช่นกัน

พระองค์นี้ น่าจะถอดพิมพ์มาจาก พระขุนแผนวัดบ้านกร่าง พิมพ์ทรงพลใหญ่นั่นเอง สังเกตุจาก พิมพ์ที่ชัดตื้นมากกว่า องค์นี้ถ้าสังเกตุให้ดีจะพบว่า ที่พระกรด้านซ้ายขององค์พระนั้น มีการแกะพิมพ์เพิ่มเป็นรูปกุมารขึ้นมา กลายเป็นพระขุนแผนอุ้มกุมาร ด้านหลังองค์พระ มวลสารเนื้อหา ดูง่าย ว่าเป็นพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ จริงแท้ร้อยเปอร์เซนต์

เมื่อลองดูรายละเอียดขององค์พระดีๆ ก็พบกลุ่มเนื้อใสเช่นเดียวกับพระคำข้าวอยู่ทั่วๆไป ลองขยายดูที่องค์กุมารนะครับ

ที่พระกรขวาก็เช่นเดียวกัน เนื้อชัดเจนขนาดนี้คงไม่ต้องสงสัยว่า เป็นเนื้อพระชนิดใด

เนื้อพระใสๆนั้น บางส่วนที่บดไม่ละเอียด ยังเห็นชัดเจนครับว่า เป็นเม็ดข้าวสิเหลืองนั่นเอง และ เม็ดสีเหลืองขนาดใหญ่เพียวๆแบบนี้ก็เป็นหลักฐาน สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง

ดูกันชัดๆอีกทีครับ จะเห็นว่า เนื้อพระถ้าตัดส่วนสีขาวออกไปแล้ว ก็คือ เนื้อพระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ดีๆนี่เอง

ลองเปรียบเทียบกับองค์ออริจินอลหน่อย ลองตัดเนื้อสีขาวออกแล้วเทียบกันดูนะครับ

พระองค์สำคัญของหลวงพ่อสงวนอีกองค์หนึ่ง ที่ผมเองเคยเข้าใจผิดว่า เป็นพระเนื้อแก่ผงน้ำมัน ด้วยลักษณะเนื้อพระนั้นค่อนข้างเหมือนเจลใส แต่วันนี้ ความจริงก็ปรากฏแล้วครับ เนื้อพระพิมพ์ที่ว่านั้น ก็คือ เนื้อพระคำข้าวดีๆนี่เอง เพียงแต่ใส่สีให้เป็นสีเขียวเท่านั้น คงจำกันได้นะครับ องค์ 81 ที่ผมเคยเล่าให้ฟังในตอนก่อนนั่นเอง ดูกันชัดๆนะครับ นี่คือ พระคำข้าว รุ่น Tranformer อีกองค์อย่างไม่ต้องสงสัย

มิน่าเล่า ท่านถึงดลบันดาลให้หวยออก 81 , 18 ได้ถึงสี่งวดซ้อน ( ลองกับไปอ่านตอนก่อนๆดูนะครับ ) ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันอย่างหนึ่งว่า พระคำข้าว หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ นั้น เด่นสุดๆในทางใด แต่แน่นอนครับ ถึงลาภจะเด่นปานนี้ เรื่องเมตตาก็ไม่น้อยหน้าพระเนื้ออื่นๆก็แล้วกัน
ครับ..ผมคงขอจบเรื่องราวของสมเด็จข้าวทิพย์แต่เพียงเท่านี้ ตอนหน้า มาพบกับ เรื่องราวความสำคัญของผงต่างๆ ที่หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ท่านใช้ในการทำพระแล้วกันนะครับ แล้วท่านจะอึ้งเหมือนกับผม และ จะไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดพระหลวงพ่อสงวน ถึงได้แรงนักแรงหนา เอาไว้พบกันกับนักเขียนหน้าใหม่ของบล๊อคเรานะครับ ( ถ้าแกอู้ก็ช่วยกันจุดธูปแช่งแกหน่อยนะครับ ) วันนี้ผมขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น