26 มิถุนายน 2552

หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ : เหตุแห่งความแรงของพระหลวงพ่อสงวน

สวัสดีครับ ห่างหายไปหลายวัน ก็กลับมาพบกับเรื่องราวของหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมืออีกครั้งนะครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ส่งกันมาให้ทางอีเมล์ครับ มีเสียงเรียกร้องว่า ตอนกว่าจะมาเป็นขุนแผนน้อยนั้น จบเร็วเกินไปหน่อย ยังฟังไม่จุใจ อยากฟังเกี่ยวกับเรื่องการทำงาน และ ค้าขายบ้าง รวมทั้งภาพเจ้าปลัดตัวเล็กที่ผมมิได้เคยโชว์ที่ไหน เอาไว้เดี๋ยวจะลงให้ฟังแล้วกันนะครับ

เมื่อวานได้มีโอกาสแวะเข้าไปที่วัดไผ่พันมือ เห็นว่า วัดกำลังจะมีการก่อสร้างหอระฆังใหม่ครับ มีเจ้าภาพซึ่งเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อสงวน เป็นนายทหารอากาศซึ่งเกษียรอายุราชการไปแล้ว บอกว่า ฝันเห็นหลวงพ่อสงวน ท่านบอกว่า อยากได้หอระฆัง แกก็เลยมาขอเป็นเจ้าภาพจัดสร้างให้ จะมีพิธีทางสงฆ์วันเสาร์นี้นะครับ ขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างสูง สำหรับการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ครอบของเดิมนั้น ทางวัดก็ยังขาดปัจจัยอยู่เป็นจำนวนมาก ใครมีจิตศรัทธาก็ขอเชิญบริจาคได้ที่วัดไผ่พันมือนะครับ

ได้มีโอกาสแวะเยี่ยมป้าฉัตรกับลุงสุดอีกครั้งหนึ่ง ได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆของหลวงพ่อสงวนมากมาย วันนี้ก็เลยเอาเรื่องราวการทำพระของหลวงพ่อสงวนมาฝากแล้วกันนะครับ ซึ่งลุงสุดได้เล่าในตอนหนึ่งว่า ในการทำพระของหลวงพ่อสงวนนั้น ท่านจะทำการเขียนผงและลบผงด้วยตัวท่านเองคนเดียวทั้งวัน จะไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเลย เวลาหลวงพ่อท่านเขียนผง ก็จะท่องคาถางึมงัมๆได้ยินกันไปทั่ว เมื่อลบผงได้แล้วท่านก็จะเก็บไว้ เพื่อจะนำมาผสมกับมวลสารที่ท่านไปหามาด้วยตัวท่านเองในการทำพระและลูกอมอีกที

สำหรับมวลสารต่างๆนั้น ป้าฉัตรกับลุงสุด และ ลูกศิษย์คนอื่นๆเล่าไว้ตรงกันว่า หลวงพ่อสงวน ท่านจะไปเสาะแสวงหาด้วยตัวของท่านเอง ในช่วงที่กำลังวังชาท่านยังดี ท่านชอบหายไปเป็นเวลาหลายๆวัน แล้วก็จะกลับมาพร้อมกับมวลสารต่างๆที่ใช้ทำพระ และ ลูกอม โดยเฉพาะ ดิน ว่านต่างๆ และ แร่สะเก็ดดาวที่ใช้ทำพระนั้น ทราบว่า ส่วนใหญ่ท่านจะไปเอามาจากกาญจนบุรี

การที่หลวงพ่อสงวน ท่านไปเก็บของต่างๆมาด้วยตนเองนั้น ย่อมบอกเป็นนัยน์อยู่แล้วว่า มวลสารต่างๆของท่านแต่ละอย่างที่ท่านไปเอามานั้น ย่อมต้องมีความสำคัญและมีความพิเศษในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องผ่านกรรมวิธี ในการเก็บตามหลักวิชาเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาสามัญจะทำได้เลย ทำให้หลวงพ่อท่านต้องไปเก็บด้วยตนเอง โดยเฉพาะดินที่ใช้ทำพระนั้น หลวงพ่อสงวนท่านจะเจาะจงไปเอาที่เมืองกาญจน์เท่านั้น แสดงว่า ดินที่นั่นต้องไม่ใช่ดินธรรมดาสามัญทั่วๆไป จะต้องมีความพิเศษและความสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่ง มิเช่นนั้นหลวงพ่อสงวน ท่านคงมิต้องดั้นด้นเจาะจงไปเอาด้วยตัวเองถึงเมืองกาญจน์ จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใด พระ และ ลูกอม หรือ ลูกประคำ ที่เป็นเนื้อดินทั้งหลายนั้น จึงแสดงพุทธคุณที่โดดเด่นเป็นที่ร่ำลือถึงความแรงกันมากมาย ดินนี้มีความพิเศษอันใดหนอ? เหตุใดหลวงพ่อสงวนท่านจึง ไม่ใช้ดินใกล้ๆตัว เฉกเช่นทั่วๆไป ซึ่งหาได้ง่ายกว่า น่าคิดนะครับ

สำหรับว่านต่างๆเองก็เช่นกัน เอาแค่ว่านเครือเขาหลง ซึ่งพบเจอในสีผึ้งของท่านบ่อยๆนั้น กรรมวิธีในการเก็บก็สลับซับซ้อนอยู่ไม่น้อย คนที่ไม่มีวิชา ทำไม่ถูก ไม่มีทางที่จะเก็บมาได้ เป็นได้หลงป่าหาทางออกไม่เจอเป็นของแถมอีกด้วย เรียกว่า มีสิทธิ์อดข้าวตายในป่าได้เลย ไม่รวมถึงว่านชนิดอื่นๆ ที่ต้องมีกรรมวิธี และ วิชาในการเก็บเฉพาะตัว ซึ่งตอนเก็บก็ต้องมีพิธีกรรม และ การว่าคาถาอาคมต่างๆกันมากมาย เก็บไม่ดี พลีไม่ถูกต้อง มีสิทธิถูกเจ้าของที่เขาดูแลอยู่เล่นงานเอาถึงตาย หรือ เสียสติไม่เป็นผู้เป็นคนเอาได้ง่ายๆ

จากที่ได้กล่าวมา คงพอมองเห็นกันแล้วนะครับว่า หลวงพ่อสงวน ท่านพิถีพิถัน และ ละเอียดละออในการสร้างพระขนาดไหน จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมพระในยุคทุ่งแฝก และ ยุคต้นวัดไผ่ ซึ่งอุดมไปด้วยมวลสารมากมายนั้น ถึงได้มีประสบการณ์จากผู้ใช้ถึงความแรงที่บอกกันปากต่อปากเป็นที่ต้องการของสายตรงกันนัก ซึ่งในช่วงหลังๆ นั้นทราบว่า หลวงพ่อท่านจะปลูกว่านต่างๆไว้เองในวัด รวมทั้งดอกไม้ต่างๆ และดอกไม้ที่ชาวบ้านเอามาบูชาพระ หลวงพ่อสงวนท่านก็จะเก็บไว้ทำเกสรดอกไม้ร้อยแปด ผสมลงในเนื้อพระเช่นกัน

วันนี้ก็นำเอามาฝากกันแค่หอมปากหอมคอนะครับ คงได้เห็นถึงสาเหตุแห่งความแรงของพระหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ กันแล้ว คงพอเข้าใจกันแล้วนะครับว่า ทำไมพระเนื้อดินทั้งหลาย พระเนื้อว่านต่างๆ และ พระยุคลึกๆ จึงเป็นที่ต้องการของเซียนสายตรงกันนัก ใครมีประสบการณ์ดีๆ ก็มาแชร์กันได้นะครับ จะได้ช่วยๆกันเผยแพร่เกียรติคุณของหลวงพ่อสงวน ให้เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้น วันนี้ขอลาไปก่อนนะครับ เอาไว้พบกันใหม่ตอนหน้าครับ สวัสดีครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับฉัน